สัมภาษณ์นายนาวา จันทนสุรคน ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)คนใหม่ : เหล็กจีนทุ่มตลาดไม่หยุด วิกฤติรุนแรง "ไทย-โลก"
หลายอุตสาหกรรมเพิ่งเผชิญผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จนตั้งหลักไม่ทัน แต่ก็มีบางอุตสาหกรรมที่เจอวิกฤติมาก่อนและมาถูกซ้ำเติมโครมใหญ่จากพิษโควิด-19 อีก ทั้งที่ปัญหาเก่ายังไม่ได้รับการแก้ไข โดยเฉพาะอุตสาหกรรม“เหล็ก”ที่ทั่วโลกถือเป็นอุตสาหกรรมพื้นฐานที่สำคัญของประเทศ
“ฐานเศรษฐกิจ”สัมภาษณ์พิเศษ นายนาวา จันทนสุรคน ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)คนใหม่ ที่พ่วงท้ายด้วยตำแหน่งนายกสมาคมเหล็กแผ่นรีดร้อนไทย และผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) เปิดใจสะท้อนมุมมองถึงอุตสาหกรรมเหล็กนับจากนี้อย่างน่าสนใจ โดยเฉพาะประเด็นที่วิกฤติที่สุดอย่างการทุ่มตลาดเหล็กจากจีน
อุตฯเหล็กกับโควิด
นายนาวามองว่า ปัจจุบันอุตสาหกรรมเหล็กไทยไม่ได้อยู่ในภาวะวิกฤติจากโควิด-19 เพราะถ้าพิจารณาจากภาพรวมที่มีการใช้กำลังการผลิตที่ต่ำมากเพียง 30% จากกำลังการผลิตทั้งหมดก็ถือว่าวิกฤติอยู่ก่อนแล้ว โชคดีที่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเหล็กของไทยมีความเข้มแข็ง เพราะเคยเป็นผู้นำด้านอุตสาหกรรมเหล็กในอาเซียน และแม้จะเผชิญวิกฤติเหล็กทุ่มตลาดอย่างมากในระยะหลังจนการใช้กำลังการผลิตลดต่ำถดถอย แต่ก็ยังปรับตัวและและอยู่รอดเป็นอุตสาหกรรมพื้นฐานสนับสนุนการพัฒนาประเทศไทยได้
ไทย-โลกใช้เหล็กลดลง
จากผลกระทบของโควิด-19 จะส่งผลให้ความต้องการใช้เหล็กของโลกในปี 2563 จะถดถอยลง โดยความต้องการใช้ประมาณ 1,654 ล้านตัน ลดลง 6.4% จากปี 2562 ทั้งนี้เมื่อจำแนกความต้องการใช้เหล็กของ 5 ประเทศในอาเซียน(เวียดนาม, อินโดนีเซีย, ไทย, มาเลเซีย, ฟิลิปปินส์) ปี 2563 ประมาณ 75.9 ล้านตัน ลดลง 2.4% จากปี 2562
ปัจจุบันเวียดนามแซงหน้าประเทศไทย ขึ้นมาเป็นประเทศที่มีความต้องการใช้เหล็กสูงสุดในอาเซียน 4 ปีต่อเนื่องแล้ว ความต้องการใช้เหล็กปี 2563 ประมาณ 25 ล้านตัน โตขึ้น 2.8% จากปี 2562
ส่วนความต้องการใช้เหล็กของไทยในปี 2563 ประมาณ 17 ล้านตัน ลดลง 6% จากปี 2562 ทั้งนี้แม้ความต้องการใช้จะถดถอยลง แต่ก็ยังดีกว่าหลายประเทศที่มีการล็อกดาวน์อุตสาหกรรมก่อสร้าง เช่น อินเดีย และอุตสาหกรรมเหล็ก เช่น อิตาลี โดยการบริโภคเหล็กของไทยในครึ่งหลังของปีนี้แนวโน้มน่าจะปรับตัวดีกว่าครึ่งปีแรก มีแรงขับเคลื่อนหลักจากการก่อสร้างโครงการภาครัฐ
แหล่งที่มา : ฐานเศรษฐกิจ