สศช.ห่วงภาวะ 3 สูง “ว่างงาน หนี้สาธารณะ หนี้เอกชน” ชี้ ต้องเร่งฟื้นฟูประเทศ ระบุพึ่งเศรษฐกิจภายในมากขึ้น
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม ประจำปี 2563 ของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) วานนี้ (21 ก.ย.) ซึ่งการประชุมครั้งนี้ได้มีการสรุปครึ่งทางของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 12 รวมทั้งนำเสนอแนวคิดแผนแม่บทเฉพาะกิจภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติที่จะรับมือผลจากการระบาดของโรคโควิด-19 ที่จะใช้ปี 2564-2565
นายทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยหลังจากโควิดจะต้องเจอกับภาวะ 3 สูง 3 ต่ำ โดย 3 สูง คือ อัตราการว่างงานสูง หนี้สาธารณะสูง และหนี้ภาคเอกชนสูง
ส่วน 3 ต่ำ คือ การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจต่ำ อัตราเงินเฟ้อต่ำ และอัตราดอกเบี้ยต่ำ ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลจะต้องเตรียมพร้อมที่จะรับผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจในรูปแบบดังกล่าว และต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจทุกภาคส่วนในการรับมือ
ทั้งนี้ ทิศทางหลังจากโควิด-19 จะต้องหันมาพึ่งพาเศรษฐกิจจากภายในประเทศให้มากขึ้น จากเดิมที่พึ่งพารายได้จากภายนอกประเทศทั้งส่งออกและการส่งออกท่องเที่ยวมากกว่า 70% ซึ่งการฟื้นตัวยังคงคาดหวังการขยายตัวของเศรษฐกิจในระดับ 3% ส่วนระดับหนี้สาธารณะช่วงก่อนโควิดไทยอยู่ที่ 40%ต่อจีดีพี ขณะที่ปี 2563 หนี้สาธารณะอยู่ที่ 47%ต่อจีดีพีและจะเพิ่มเป็น 57% ต่อจีดีพีในปี 2564
สำหรับวงเงินฟื้นฟูเศรษฐกิจในส่วนของเงินกู้ 4 แสนล้านบาท จะทยอยอนุมัติโครงการและจัดสรรเงินลงในระบบเศรษฐกิจเป็นระยะ โดยหลังจาก ครม.อนุมัติกรอบวงเงินไปแล้ว 9.2 หมื่นล้านบาท ในช่วงไตรมาสที่ 4 จะมีการอนุมัติเพิ่มอีก 1 แสนล้านบาท และในไตรมาสที่ 1–2 ของปี 2564 อีกไตรมาสละ 1 แสนล้านบาท จะทำให้มีเงินในการฟื้นฟูเศรษฐกิจลงสู่ระบบเศรษฐกิจเป็นระยะ
ในขณะที่เมื่อเศรษฐกิจเจอผลกระทบจากโควิด-19 ในปี 2563 คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะติดลบ 7.3–7.8% ซึ่งการที่ติดลบมากในปีนี้เป็นในทิศทางเดียวกับแทบทุกประเทศในโลก แต่ไทยต้องพยายามที่จะลุกให้ไวคือฟื้นตัวให้ได้เร็ว
สำหรับการติดตามประเมินผลหลังจากประกาศใช้แผนพัฒนาฯฉบับที่ 12 มาเป็นระยะเวลา 4ปี พบว่าไทยขยับเข้าใกล้การบรรลุผลเป้าหมายทางเศรษฐกิจที่วางไว้หลายข้อ เช่น การรักษาระดับการขยายตัวของเศรษฐกิจเฉลี่ย3% ในช่วงที่ก่อนเจอผลกระทบจากโควิด-19
ส่วนการว่างงานที่ปกติไทยมีอัตราการว่างงาน1% ของจำนวนผู้มีงานทำ หรือ400,000 คน แต่การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้สัดส่วนแรงงานว่างงานเพิ่มขึ้นเป็น 2% อยู่ระหว่าง 750,000-800,000 คน แต่ยังมีแรงงานที่รับความช่วยเหลือจากประกันสังคมและสวัสดิการแรงงานที่ให้ความช่วยเหลือกรณีว่างงานอยู่1.7 ล้านคน ซึ่งถือว่าเป็นความเสี่ยงอาจจะว่างงานได้
อ่านต่อได้ที่ :
https://bit.ly/345Jcid
แหล่งที่มา : กรุงเทพธุรกิจ