นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวถึงสถานการณ์การเมืองและการประท้วงที่เกิดขึ้นว่า ถ้าสถานการณ์สงบ มีความนิ่งทางการเมือง เศรษฐกิจก็เดินได้ แต่ถ้ามีเรื่องที่เป็นปัญหาทางการเมืองเกิดขึ้นว่าจะส่งผลอย่างไร
ทั้งนี้ที่ผ่านมา สศช.ยังไม่ได้ประเมินความเสี่ยงทางการเมืองว่าจะส่งผลต่อเศรษฐกิจในปีนี้อย่างไร แต่เมื่อมีความเสี่ยงมากขึ้นต้องจับตาดูว่าจะส่งผลต่อเศรษฐกิจหรือไม่
“4-5ปี ที่ผ่านมา บ้านเมืองสงบ ช่วงก่อนโควิด-19 เศรษฐกิจเดินได้ระดับหนึ่ง ซึ่ง สศช.ไม่ได้ประเมินความเสี่ยงเรื่องการเมืองว่าจะส่งผลต่อเศรษฐกิจปีนี้อย่างไร เมื่อเกิดสถานการณ์ขึ้นต้องจับตาดูใกล้ชิด ต้องมอนิเตอร์อีกทีตอนนี้ยังคงบอกอะไรไม่ได้ชัดเจนว่าจะเกิดผลกระทบอย่างไร”นายดนุชา กล่าว
นายสุพันธ์ุ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ภาคเอกชนไม่กังวลสถานการณ์การการชุมนุมทางการเมืองขณะนี้ เพราะเหตุการณ์ยังไม่ยืดเยื้อรุนแรง แต่ต้องการให้รัฐบาลติดตามสถานการณ์ใกล้ชิดอย่าให้เกิดความรุนแรงหรือถ้าเกิดขึ้นต้องระงับเหตุการณ์ให้ได้รวดเร็วอย่าให้เกิดเหตุการณ์กระทบความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจหรือกระทบตลาดเงินตลาดทุน
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า การชุมนุมในแต่ละกลุ่มที่เกิดขึ้นขณะนี้ หากสถานการณ์ไม่ยืดเยื้อ และชุมนุมแบบค้างคืนไม่นาน เป็นการชุมนุมแบบแฟล็ชม็อบ รวมถึงไม่เกิดการปะทะที่รุนแรงหรือบานปลาย คาดว่าจะไม่กระทบต่อภาพรวมความเชื่อมั่นของภาคประชาชนและภาคธุรกิจแต่อย่างใด
ทั้งนี้ ต้องติดตามหากการชุมนุมยืดเยื้อไม่จบหรือเกิดการปะทะรุนแรงและเกิดการชุมนุมในทุกพื้นที่ไปทั่วและยาวนานจะส่งผลกระทบต่อภาพรวมดัชนีความเชื่อมั่นมากกว่านี้ หากประเมินในพื้นที่กรุงเทพมหานคร มองว่าการเมืองเป็นปัจจัยเชิงลบหลักที่มีความห่วงใยมาก เพราะมีการชุมนุมเคลื่อนไหวทางการเมืองในพื้นที่กรุงเทพฯ ส่วนภาคอื่นให้น้ำหนักกับมาตรการดูแลของภาครัฐ อาทิ สภาพคล่อง หนี้ การจ้างงาน และกำลังซื้อเท่านั้น ทำให้ปัจจัยการเมืองไทยถือเป็นปัจจัยบั่นทอนอย่างแท้จริง” นายธนวรรธน์ กล่าว
อ่านต่อได้ที่: https://bit.ly/37db9rl