วันที่ 15 พฤศจิกายน 2563 เป็นอีกหนึ่งวันประวัติศาสตร์ เมื่อผู้นำชาติสมาชิกความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค(อาร์เซ็ป / RCEP) 15 ประเทศ (ไม่รวมอินเดีย) ได้มีประชุมผ่านระบบทางไกลที่มีเวียดนามเป็นเจ้าภาพ สามารถสรุปผลการเจรจาและบรรลุความตกลงร่วมกันหลังรอคอยมา 8 ปี และได้มีการลงนามผ่านระบบออนไลน์ กลายเป็นเขตการค้าเสรี(FTA) ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และนำสู่ขั้นตอนเพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป
ทั้งนี้อาร์เซ็ปจะมีผลบังคับใช้ต่อเมื่อประเทศสมาชิกอาเซียนอย่างน้อย 6 ประเทศ ให้สัตยาบันร่วมกับประเทศคู่เจรจา 3 ประเทศ โดยในส่วนของไทยเองนั้นคาดว่าจะเร่งดำเนินการให้สัตยาบันให้แล้วเสร็จประมาณกลางปีนี้ โดยเวลานี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เร่งเตรียมความพร้อมในการปรับกฎระเบียบภายในให้แล้วเสร็จก่อนยื่นหนังสือให้สัตยาบันต่อเลขาธิการอาเซียนหลังรัฐสภาได้ไฟเขียวในการให้สัตยาบันแล้ว
ร่งระบบรับรองถิ่นกำเนิด
นายกีรติ รัชโน อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ให้สัมภาษณ์กับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า กรมฯซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบในการออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าและการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองโดยผู้ส่งออกที่ได้รับอนุญาต(Self-certification by approved exporter) เพื่อให้ผู้ประกอบการได้ใช้สิทธิประโยชน์จากความตกลงอาร์เซ็ป อยู่ระหว่างการดำเนินการในเรื่องนี้
อย่างไรก็ดี ระหว่างที่ประเทศสมาชิกกำลังดำเนินการภายในเพื่อให้สัตยาบันนั้น ขณะนี้ฝ่ายเลขาธิการอาเซียนได้เร่งจัดทำแผนการเจรจาในส่วนของรายละเอียดในทางปฎิบัติเกี่ยวกับการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า ซึ่งฝ่ายไทยจะต้องหารือรายละเอียดกับประเทศภาคีความตกลง 15 ประเทศ เช่น รูปแบบของหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า รายละเอียดระบบการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองโดยผู้ส่งออกที่ได้รับอนุญาตภายใต้ความตกลงอาร์เซ็ปและการบังคับใช้พิกัดศุลกากร
อ่านต่อได้ที่ :
http://bit.ly/3vRWgon
แหล่งที่มา : ฐานเศรษฐกิจ