นายนาวา จันทนสุรคน ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เผยปริมาณความต้องการใช้เหล็กในประเทศปรับตัวดีขึ้น โดยในช่วง 8 เดือนแรกของปี 64 (ม.ค.-ส.ค.64) เพิ่มขึ้น 18% เป็นการเพิ่มขึ้นของการผลิตในประเทศ 14% และการนำเข้าเพิ่มขึ้น 23% ซึ่งเชื่อว่านโยบายภาครัฐจะช่วยให้การใช้สินค้าเหล็กจากผู้ผลิตในประเทศ โดยเฉพาะในโครงการภาครัฐปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น
ในปี 64 สถานการณ์อุตสาหกรรมเหล็กทั่วโลกปรับตัวดีขึ้น โดยสมาคมเหล็กโลก (World steel Association) คาดการณ์ความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์เหล็กสำเร็จรูป (Finished steel products) ของโลกมีแนวโน้มขยายตัว 5.8% ปริมาณอยู่ที่ 1,874 ล้านตัน โดยกลุ่มสหภาพยุโรป (27 ประเทศและสหราชอาณาจักร) คาดการณ์ความต้องการใช้เหล็กสำเร็จรูปขยายตัวอยู่ที่ 10.2% กลุ่มประเทศเครือรัฐเอกราช (CIS) คาดการณ์ความต้องการใช้เหล็กสำเร็จรูปขยายตัว 3.4% และภูมิภาคเอเชียและโอเชียเนีย คาดการณ์ความต้องการใช้เหล็กสำเร็จรูปขยายตัว 4.7% และจีน คาดการณ์ความต้องการใช้เหล็กสำเร็จรูปขยายตัว 3.0% เนื่องจากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ที่มีแนวโน้มที่ดีขึ้น หลังจากสามารถมีการผลิตวัคซีนในการป้องกันได้ เป็นผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจสามารถดำเนินการได้ดียิ่งขึ้น ภาคการผลิตของอุตสาหกรรมมีแนวโน้มและทิศทางที่ฟื้นตัวดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปเป็นผลให้ความต้องการผลิตภัณฑ์เหล็กสำเร็จรูปมีโอกาสปรับตัวดีขึ้น
นอกจากนี้ สถานการณ์ราคาสินค้าเหล็กในภูมิภาคเอเชียหลายประเภท มีแนวโน้มปรับลดลงเล็กน้อยในช่วงเดือน ก.ย.64 เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนก่อนหน้า เช่น สินค้าเหล็กแผ่นรีดเย็นราคา 980 USD/ตัน ปรับลดลง 0.7% เหล็กลวดราคา 831 USD/ตัน ปรับลดลง 2.8% จากข้อมูลดังกล่าวคาดว่าสถาณการณ์ราคาเหล็กในตลาดโลกน่าจะเลยจุดสูงสุดมาแล้ว และน่าจะกลับสู่สถานการณ์ปกติในไม่ช้านี้ แต่คาดว่าจะไม่ต่ำลงมากเหมือนก่อนการแพร่ระบาดของโควิด-19 เนื่องจากประเทศจีนมีการควบคุมการผลิต และมีนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดขึ้น
อ่านต่อได้ที่ :
https://bit.ly/3mXGOng
แหล่งที่มา : RYT9