นายณัฐกร อุเทนสุต ที่ปรึกษาด้านการพัฒนาระบบควบคุมทางสรรพสามิต กรมสรรพสามิต กล่าวเสวนาในหัวข้อ “Carbon war : จุดเปลี่ยนการค้า - การลงทุน” ในงานสัมมนา “ZERO CARBON วิกฤต – โอกาสไทยในเวทีโลก” ที่จัดโดยหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ
โดยระบุว่า ขณะนี้กรมอยู่ระหว่างการศึกษาการจัดเก็บภาษี CBAM หรือมาตรการภาษี Carbon Boarder Adjustment Mechanism ใน 5 สินค้าส่งออกสำคัญ คือ ซีเมนต์ เหล็กและเหล็กกล้า อะลูมิเนียม ปุ๋ย และไฟฟ้า ซึ่งสหภาพยุโรป จะเริ่มเก็บภาษีดังกล่าวอย่างเต็มรูปแบบตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569
ทั้งนี้มองว่าหากไทยมีการจัดเก็บภาษี CBAM เอง โดยเริ่มต้นใน 5 กลุ่มสินค้าส่งออกหลัก ก็จะทำให้ผู้ประกอบการไม่ต้องไปเสียภาษีให้กับประเทศปลายทาง ซึ่งยังส่งผลดีต่อรายได้จากการจัดเก็บภาษีของไทย และรัฐบาลยังสามารถนำเงินจากภาษีส่งกลับไปยังผู้ประกอบการผ่านมาตรการอุดหนุนต่างๆ เป็นต้น
ขณะที่การปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิต เพื่อจูงใจให้ทุกภาคส่วน ทั้งภาคอุตสาหกรรม และครัวเรือนลดการใช้พลังงานและลดการปล่อยคาร์บอนฯ นั้น เช่น การเพิ่มอัตราการจัดเก็บภาษีน้ำมันดีเซล ที่ในอดีตมีอัตราการจัดเก็บต่ำกว่าน้ำมันเบนซิล
แต่เนื่องจากมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนสูงกว่า กรมจึงมองว่าอัตราภาษีน้ำมันดีเซลควรจะเทียบเท่าหรือมากกว่าน้ำมันเบนซิล ทำให้ปัจจุบันอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 6 บาทต่อลิตร
“วันนี้มาเลเซีย และบรูไน ที่มีราคาน้ำมันดีเซลถูกกว่าไทย เนื่องจากมีการผลิตเพื่อใช้เองได้ นอกจากนั้นประเทศอื่นในภูมิภาคน้ำมันดีเซลแพงกว่าไทยหมด ดังนั้น หากเรามองถึงอนาคตและเป้าหมาย ก็ต้องมองถึงภาพความเป็นจริงที่ควรจะเกิดขึ้น”
อ่านต่อได้ที่ : https://www.thansettakij.com/money_market/524507