อุตฯปลากระป๋องหมื่นล้านสะเทือน ต้นทุนการผลิต “ปลา-กระป๋อง-ขนส่ง” พุ่ง บาทอ่อนทุบซ้ำต้นทุนวัตถุดิบนำเข้าแพง “ซูเปอร์ ซีเชฟ-โรซ่า-ปุ้มปุ้ย” ยื่นขอปรับราคา 2 บาท/กระป๋อง ตามรอย “ทียู” “ซีเล็ค” ขอขึ้น 5-7% สมาคมอาหารสำเร็จรูปชี้แนวโน้มต้นทุนสูงต่อเนื่อง “ผักกระป๋อง ปลากระป๋อง เครื่องปรุงรส”เริ่มเจรจาค้าปลีกขอปรับราคาขึ้นตาม
ถึงวันนี้ อุตสาหกรรมปลากระป๋องที่มีมูลค่ารวมมากกว่า 9,000 ล้านบาท กำลังเผชิญหน้ากับปัญหาต้นทุนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมา ทั้งต้นทุนวัตถุดิบ ทั้งปลาแมคเคอเรลและปลาซาร์ดีน ที่ส่วนใหญ่นำเข้าจากต่างประเทศ และแพ็กเกจจิ้ง โดยเฉพาะเหล็กที่ใช้ผลิตกระป๋องปรับสูงขึ้น รวมทั้งได้รับผลกระทบจากปัญหาค่าเงินบาทอ่อนค่า และเนื่องจากปลากระป๋องเป็นสินค้าควบคุม ผู้ผลิตจึงยังไม่สามารถปรับขึ้นราคาได้ และต้องรอการอนุญาตจากกรมการค้าภายในก่อน แต่จากปัญหาต้นทุนที่หนักขึ้น ทำให้หลาย ๆ รายหันไปใช้วิธีการปรับขึ้นราคาขายส่งด้วยรูปแบบต่าง ๆ แทนเพื่อคงมาร์จิ้นไว้
นายอมรพันธุ์ อร่ามวัฒนานนท์ รองประธานกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท ซี แวลู จำกัด (มหาชน) และบริษัท ยูนิคอร์ด จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตปลากระป๋องแบรนด์ “ซูเปอร์ ซีเชฟ” เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า จากต้นทุนการผลิตสินค้าทุกอย่างที่เพิ่มในรอบปีที่ผ่านมา อาทิ พลังงานทุกชนิด กระป๋อง แผ่นเหล็ก น้ำมันพืช ซอสมะเขือเทศ ปลา ค่าขนส่ง บรรจุภัณฑ์ทุกประเภท ที่ปรับขึ้นตั้งแต่ 20-50% ขณะที่ถ่านหินปรับขึ้นไป 100% ผู้ผลิตจึงมีความจำเป็นที่จะต้องขึ้นราคาอย่างน้อย 20% แต่เนื่องจากกำลังซื้อผู้บริโภคอ่อนแรงมากคงปรับขึ้นขนาดนั้นไม่ได้ แต่ควรให้ปลากระป๋องขึ้นราคากระป๋องละ 2 บาท
หากเทียบต้นทุนเฉลี่ยการผลิตปลากระป๋อง ไตรมาส 1/2565 กับต้นทุนเฉลี่ยทั้งปี 2564 เพิ่มขึ้นมาถึง 12% แยกเป็น ต้นทุนปลาซาร์ดีน 9% อัตราแลกเปลี่ยน 32-34 บาท ต้นทุนกระป๋อง 3.26-3.71 บาท หรือ 14% การนำเข้าซอสมะเขือเทศ 26% และค่าพลังงาน 100%
การที่ต้นทุนสูงขึ้นตั้งแต่ต้นปี ทำให้กำไรต่อกระป๋องลดลง นี่ยังไม่รวมถึงผลกระทบของค่าบาทที่อ่อนตัวลงไปถึง 33-34 บาท และสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นในครึ่งปีหลังนี้ คือ การปรับค่าแรงขั้นต่ำ และราคาเหล็กที่อาจปรับตัวขึ้นไปอีก ซึ่งต้องรอคณะกรรมการทุ่มตลาดและการอุดหนุนพิจารณาภายในเดือน พ.ค.นี้
อ่านต่อได้ที่ : https://www.prachachat.net/marketing/news-928204