“ซีโร่ คาร์บอน”สร้างโอกาสใหม่ทางธุรกิจ กรมทรัพยากรทางทะเลฯ เผยบริษัทชั้นนำแห่ขอพื้นที่ปลูกป่าชายเลน 5 แสนไร่ เพื่อคาร์บอนเครดิต 5 บริษัทผ่านเกณฑ์รับปลูก ด้านกรมสรรพสามิตเร่งศึกษาเก็บภาษีคาร์บอน 5 สินค้า รับมือ CBAM อียู
ภาคธุรกิจของไทยยังต้องเผชิญกับความท้าทายที่เป็นทั้งวิกฤติและโอกาส อย่างต่อเนื่อง ไล่จากดิจิทัล ดิสรัปชั่น สงครามการค้าสหรัฐฯ-จีนที่ไทยมีส่วนได้เสีย มาถึงการระบาดของโรคโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบเศรษฐกิจ การค้าโลกชะลอตัว สอดแทรกด้วยสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ส่งผลกระทบเงินเฟ้อ ต้นทุนและราคาสินค้าสูงขึ้นทั่วโลก
ล่าสุดภาคอุตสาหกรรมการผลิตและการส่งออกระบุเป็นเสียงเดียวกันว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ที่โลกได้ให้สัญญาร่วมกันว่าจะช่วยกันลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี ค.ศ.2050 เพื่อควบคุมอุณหภูมิโลกไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียส สร้างแรงกระเพื่อม ประเทศคู่ค้าได้นำประเด็นเรื่องการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมาใช้เป็นมาตรการทางการค้า
ทั้งนี้ในเวทีสัมมนา ZERO CARBON วิกฤติ-โอกาสไทยในเวทีโลก จัดโดยหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ (11 พ.ค.65) พบว่าในส่วนของประเทศไทยได้ก่อให้เกิดบริบทใหม่ทางธุรกิจเพื่อใช้ประโยชน์จากคาร์บอนเครดิต ทั้งการปลูกป่าชายเลนเพื่อดูดซับคาร์บอน รวมถึงเกิดตลาดซื้อขายคาร์บอนเครดิตที่เริ่มมีความคึกคักมากขึ้น
แห่ปลูกป่าเพื่อประโยชน์คาร์บอนเครดิต
นายโสภณ ทองดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวในช่วงเสวนาในหัวข้อ “Carbon War : จุดเปลี่ยนการค้า-ลงทุนโลก” ใจความสำคัญระบุว่า กรมฯได้สานต่อเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนของไทยให้ได้ภายในปี พ.ศ. 2050 และปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี 2065 ให้สำเร็จ
โดยการลดก๊าซเรือนกระจกที่ดีที่สุดรูปแบบหนึ่ง คือ การปลูกป่าชายเลนเพื่อดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นตัวการหนึ่งที่ทำให้เกิดภาวะเรือนกระจก ทั้งนี้กรมฯได้มีการออกระเบียบว่าด้วยการปลูกและบำรุงป่าชายเลนสำหรับองค์กรหรือบุคคลภายนอก พ.ศ. 2564 รวมถึงพื้นที่เป้าหมาย เพื่อให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการขอรับพื้นที่ไปปลูกป่าชายเลนเพื่อดูดซับคาร์บอน และไปใช้เพื่อประโยชน์ทางคาร์บอนเครดิตของภาคธุรกิจ
อ่านต่อได้ที่: https://www.thansettakij.com/economy/524868