อุตฯเหล็กกลับมาโต2.9% สศอ.ชี้บิ๊กโปรเจ็กต์หนุน

17 กุมภาพันธ์ 2560
อุตฯเหล็กกลับมาโต2.9% สศอ.ชี้บิ๊กโปรเจ็กต์หนุน
อุตสาหกรรมเหล็ก รับอานิสงส์การก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน สศอ.คาดปีนี้ขยายตัว 2.95 % ด้านทาทา สตีล สอดรับส่งผลต่อยอดขายทั้งปีพุ่ง 9.65 % มีปัจจัยราคาเหล็กตลาดโลกดีเข้ามาหนุน ช่วยสกัดการนำเข้าจากจีนมาดัมพ์ราคา

จากภาวะเศรษฐกิจในประเทศมีการขยายตัว โดยผลิตมวลรวมประชาชาติหรือจีดีพีในปีที่ผ่านมาคาดว่าจะขยายตัวที่ระดับ 3.1 % และในปีนี้จะเพิ่มเป็นประมาณ 3.2 % กับประกอบกับการขยายตัวของภาวะเศรษฐกิจในภูมิภาคอาเซียน ไม่ว่าจะเป็นเวียดนาม กัมพูชา สปป.ลาวและเมียนมา ที่คาดว่าจะเติบโตในระดับ 6.2-7.7 % นั้น จะส่งผลให้อุตสาหกรรมเหล็กในประเทศได้รับอานิสงส์ไปในทิศทางที่ดีขึ้น

โดยทางสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม(สศอ.) คาดการณ์ว่าความต้องการใช้เหล็กในภาพรวมปี 2560 นี้ จะขยายตัวในระดับ 2.95 % มาอยู่ที่ 19.83 ล้านตัน จากปีก่อน ที่มีความต้องการใช้ 19.26 ล้านตัน ซึ่งความต้องการใช้ที่เพิ่มขึ้น ส่วนใหญ่มาจากโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะรถไฟรางคู่ โครงการขนส่งทางอากาศ มอเตอร์เวย์ รถไฟความเร็วสูง รถไฟฟ้า เป็นต้น ที่จะมีงบในการลงทุนในช่วง 5 ปี(2560-2564) ไว้ ราว 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยในปีนี้จะมีงบลงทุนราว 1,788 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จะส่งผลให้เกิดความต้องการใช้เหล็กราว 1.97 ล้านตัน เป็นในส่วนของเหล็กเส้นทรงยาวถึง 7.91 แสนตัน จากภาพรวมของการใช้เหล็กเส้นทั้งประเทศมีอยู่ราว 3 ล้านตันต่อปี

ขณะที่บริษัท ทาทา สตีล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตเหล็กเส้นรายใหญ่ของประเทศ มีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับ 1 ที่ ประมาณ 33 % ตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มส่วนแบ่งตลาดจากการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานในส่วนของเหล็กเส้นในปีนี้ไว้ไม่ต่ำกว่า 40 %

นอกจากนี้ ผลพลวงจากการควบคุมการผลิตเหล็กของจีน โดยการลดกำลงการผลิตลงมาปีนี้อีกราว 50 ล้านตัน จากปีก่อนลดลงไปแล้ว 60-70 ล้านตัน ส่งผลให้ราคาเหล็กในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น กระทบราคาเหล็กที่จะส่งออกมามีราคาสูงขึ้นด้วย ทำให้มีการสั่งนำเข้าเหล็กลดลง จึงเป็นผลดีกับผู้ผลิตเหล็กในประเทศมียอดการจำหน่ายสูงขึ้น

นายราจีฟ มังกัล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทาทา สตีล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยกับ”ฐานเศรษฐกิจ”ว่า ภาวะเศรษฐกิจของประเทศดีขึ้นในปีนี้ จะส่งผลให้ประมาณการขายเหล็กในภาพรวมของบริษัทปรับตัวดีขึ้นประมาณ 1.25 ล้านตัน จากปีก่อนอยู่ที่ 1.14 ล้านตัน หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 9.65 % โดยในส่วนนี้จะเป็นยอดการจำหน่ายเหล็กเส้นทรงยาวถึง 75 % รองลงมาเป็นเหล็กลวดคาร์บอนต่ำและสูง และเหล็กโครงสร้างรูปพรรณขนาดเล็ก

ทั้งนี้ ปริมาณการขายเหล็กที่เพิ่มขึ้นดังกล่าว จะมาจากการลงทุนของภาครัฐในโครงสร้างพื้นฐานเป็นหลัก นอกจากนี้ยังได้อานิสงส์จากราคาเหล็กในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น ทำให้เหล็กที่นำเข้ามาจากจีนลดลงด้วย เนื่องจากราคาที่นำเข้ามาใกล้เคียงกับในประเทศ ทำให้ลุกค้าเลือกที่จะซื้อเหล็กในประเทศก่อน โดยเห็นได้จากเหล็กลวดคาร์บอนต่ำในไตรมาส 3 ปีปฏิทินของบริษัท(ต.ค.-ธ.ค. 2559 ) มียอดจำหน่ายปรับตัวสูงขึ้นมาที่ระดับ 3.47 หมื่นตัน เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2558 อยู่ที่ 2.6 หมื่นตัน และเป็นผลดีต่อผลประกอบการบริษัทภาพรวมมียอดขายสุทธิที่ 4,637 ล้านบาท เทียบกับช่วยเดียวกนของปี 2558 อยู่ที่ 3,866 ล้านบาท โดยมองว่าจากราคาเหล็กลวดที่ยังทรงตัวต่อเนื่องนี้ จะยังเป็นผลดีต่อการนำเข้าเหล็กจากจีนลดลงได้อีก

อย่างไรก็ตาม บริษัทอยู่ระหว่างขอการประกาศมาตรการทบทวนการเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดหรือเอดีในอัตรา 0% สำหรับสินค้าเหล็กลวดคาร์บอนตํ่า เหล็กลวดคาร์บอนตํ่าเจือธาตุอื่น ที่ยังเป็นช่องโหว่ของเอดีที่ใช้อยู่ในขณะนี้ เนื่องจากยังมีเหล็กลวดบางพิกัดหลบเลียงเอดีอยู่ ซึ่งทางกระทรวงพาณิชย์ได้รับเรื่องไปพิจารณาแล้ว หากมีการอุดตรงส่วนนี้ได้เชื่อว่าจะทำให้เหล็กลวดจากจีนนำเข้ามาดัมพ์ราคาในประเทศลดลงได้มาก


แหล่งที่มา : ฐานเศรษฐกิจ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

The information in the above report, publication and website has been obtained from sources believed to be reliable. However, Iron & Steel Institute of Thailand does not guarantee the accuracy, adequacy or completeness of the information. Any opinions or forecasts regarding future events may differ from actual events or results. In addition, Iron & Steel Institute of Thailand reserves the right to make changes and corrections to the information, including any opinions or forecasts, at any time without notice.