เหตุผลก็เพราะว่านี่คือบริษัทที่ไม่ใช่สถาบันการเงินที่มีหนี้น่าจะ “มากที่สุดในโลก” บริษัทหนึ่ง โดยคาดว่าจะมีหนี้ถึง 300,000 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 10 ล้านล้านบาท การล้มละลายจะทำให้บริษัทเจ้าหนี้ทั้งที่เป็นซับพลายเออร์และโดยเฉพาะอย่างยิ่งสถาบันการเงินที่ปล่อยกู้จำนวนมากล้มไปด้วยหรือไม่ นอกจากนั้น ราคาอสังหาริมทรัพย์ในประเทศจีนจะตกต่ำลงจนก่อให้เกิดปัญหาตามมามากน้อยแค่ไหน และสุดท้ายแล้วก็คือ จะเกิด “วิกฤติ” ทางการเงินและตลาดหุ้นอย่างที่เคยเกิดขึ้นในไทยเช่นกรณีต้มยำกุ้งในปี 2540 และในโลกอย่างในกรณีของซับไพร์มในสหรัฐปี 2551 หรือไม่ นี่เป็นสิ่งที่จะคุยกัน
ผมคิดว่าสถานการณ์การล้มละลายของเอเวอร์แกรนด์นั้นน่าจะมีความคล้ายคลึงกับเลห์แมน บราเธอร์ส บริษัทการเงินที่เข้าไป “ปล่อยสินเชื่อ” ให้กับคนที่เข้าไปเล่น “เก็งกำไร” จากการซื้อขายบ้านผ่านตราสารการเงินที่เป็นหนี้ที่มีบ้านเป็นหลักประกัน โดยคนที่เข้าไปซื้อบ้านนั้นจำนวนมากไม่ได้มีฐานะหรือรายได้เพียงพอที่จะซื้อบ้าน แต่ซื้อเพราะมีสถาบันปล่อยกู้ให้ พวกเขาซื้อเพราะเห็นว่าบ้านมีราคาเพิ่มขึ้นเร็ว ถ้าผ่อนไม่ไหวก็สามารถขายต่อมีกำไรเลห์แมน บราเธอร์ส ก่อนที่จะล้มละลายมีการกู้เงินและสินทรัพย์ประมาณ 600,000 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 20 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 2 เท่า ของเอเวอร์แกรนด์ในวันนี้ แต่มีทุนเพียง 20,000 ล้านดอลลาร์ หรือมีหนี้เป็น 30 เท่าของทุน ดังนั้น ในทางเทคนิคแล้ว ถ้าราคาของอสังหาริมทรัพย์ลดลงแค่ 3-5% เงินทุนก็จะหายไปหมด ล้มละลายทันที และนั่นก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ของอเมริกา “แตก” นั่นคือคนไม่มีปัญญาผ่อนและต้องถูกบังคับขายอสังหาริมทรัพย์ทิ้งซึ่งทำให้ราคาลดลงและทำให้คนที่ยังผ่อนอยู่ก็ขายต่อเนื่องกันเป็นเป็นทอด ๆ
อ่านต่อได้ที่ : https://bit.ly/3kqVFq4