Tata Steel ของอินเดีย ตั้งเป้าที่จะตั้งโรงงานเหล็กเส้นที่ใช้เตาอาร์คไฟฟ้า (electric arc furnace-based) ขนาด 750,000 ตัน/ปี ในรัฐปัญจาบ (Punjab state) ทางตะวันตกเฉียงเหนือของอินเดีย โดยเป็นส่วนหนึ่งของการผลักดันให้ผู้ผลิตเหล็กบรรลุเป้าหมายการปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ (net-zero carbon emissions) ภายในปี 2045
โรงงานเหล็กเส้นและเตา EAF ที่ใช้เศษเหล็ก จะตั้งอยู่ที่ Kadiana Khurd, Hitech Valley, Ludhiana ใน Punjab ผู้ผลิตเหล็กกล่าว
Tata Steel ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจกับรัฐบาลปัญจาบ เมื่อวันที่ 26 ส.ค. สำหรับโรงงานและ เตา EAF ซึ่งขั้นตอนแรกของการดำเนินงานคาดว่าจะมีมูลค่า 26 พันล้านรูปี (326.9 ล้านดอลลาร์)
"โรงงานผลิตเหล็กที่ใช้เทคโนโลยี EAF ที่ทันสมัย จะผลิตเหล็กเส้นเกรดก่อสร้างภายใต้แบรนด์ค้าปลีกระดับเรือธงของบริษัท ทาทา ทิสคอน (Tata Tiscon) ซึ่งจะทำให้ทาทาสตีลสามารถเพิ่มสถานะทางการตลาดในกลุ่มการก่อสร้างได้" บริษัทกล่าว
เทรดเดอร์ชาวอินเดียรายหนึ่งกล่าวว่า “ตลาดในประเทศจะได้รับประโยชน์เนื่องจากอินเดียเป็นเศรษฐกิจที่กำลังพัฒนา และทาทาเป็นแบรนด์ที่น่าเชื่อถือที่สุดในอินเดีย” กล่าวเสริมต่อว่า การส่งออกเหล็กเส้นจะเป็นประโยชน์แม้ว่ารัฐบาลอินเดียได้กำหนดภาษีส่งออก
หาก Tata Steel แสวงหาโอกาสในการส่งออกเหล็กเส้นไปยังตลาดฮ่องกงหรือสิงคโปร์ ก็จะต้องยื่นขอ UK CARES (Certification Authority for Reinforcing Steels) เนื่องจากยังไม่ได้รับ
Tata Steel กำลังสร้างเศษเหล็กในอินเดีย โดยได้เปิดโรงงานรีไซเคิลเหล็กแห่งแรกที่ Rohtak, Haryana ในเดือนสิงหาคม 2021 ด้วยกำลังการผลิต 500,000 ตัน/ปี
ในขณะเดียวกัน Tata Steel ยังได้ขยายธุรกิจในธุรกิจเหล็กทรงยาว โดยได้เสร็จสิ้นการเข้าซื้อกิจการของ Neelachal Ispat Nigam Ltd. หรือ NINL ในเดือนกรกฎาคม
Tata Steel วางแผนที่จะรีสตาร์ทโรงงานเหล็กทรงยาว 1.1 ล้านตัน/ปี ของ NINL ที่ Kalinganagar ใน Odisha ให้เร็วที่สุดในช่วงปลายไตรมาสที่ 3 โดยมีเป้าหมายที่จะขยายกำลังการผลิตของ NINL โดยการสร้างศูนย์รวมผลิตภัณฑ์ทรงยาวล้ำสมัย 4.5 ล้านตัน/ปี ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า และขยายเป็น 10 ล้านตัน/ปี ภายในปี 2030 โดยโรงงานเหล็กของ NINL ที่ Kalinganagar ใน Odisha ถูกปิดลงในเดือนมีนาคม 2020 เนื่องจากเกิดภาวะขาดทุน
ปัจจุบัน Tata Steel มีกำลังการผลิตเหล็กทรงยาว 3 ล้านตัน/ปี ที่ Jamshedpur และการเข้าซื้อกิจการ NINL เท่ากับการเพิ่มกำลังการผลิตอย่างน้อยอีก 40% โรงงานของ NINL ซึ่งจะบริหารงานโดยบริษัทลูกอย่าง Tata Steel Long Products Ltd.