“เหล็กไทย” วิกฤต ใช้กำลังผลิตตํ่าสุด สภาพคล่องต่ำ จ่อปิดเพิ่ม

09 พฤษภาคม 2567
“เหล็กไทย” วิกฤต ใช้กำลังผลิตตํ่าสุด สภาพคล่องต่ำ จ่อปิดเพิ่ม

อุตสาหกรรมเหล็กไทยยังอยู่ในอาการที่น่าห่วง จากต้องต่อสู้กับการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมจากเหล็กนำเข้าที่โหมกระหนํ่าเข้ามาตีตลาดอย่างไม่ขาดสาย มีทั้งเหล็กคุณภาพดีและเหล็กไม่ได้มาตรฐานปะปนมาขายในราคาตํ่า

ทั้งนี้ได้ส่งผลกระทบผู้ผลิตในประเทศมากขึ้นทุกขณะ รายใดสายป่านสั้น ทุนไม่หนาพอ และไม่สามารถทนรับการแข่งขันที่รุนแรงได้ก็ยกธงขาวปิดกิจการไปก่อน เปิดโอกาสให้ทุนต่างชาติเข้ามาตั้งฐานการผลิตเพิ่ม ขณะภาพรวมผู้ประกอบการไทยเวลานี้มีการใช้กำลังผลิตเฉลี่ยรวมกันไม่ถึง 30% ของกำลังการผลิตโดยรวม

 “ฐานเศรษฐกิจ” สัมภาษณ์พิเศษ นายบัณฑูรย์  จุ้ยเจริญ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) คนใหม่เป็นฉบับแรก ถึงทิศทางภาพรวมและสถานะที่น่าเป็นห่วงของอุตสาหกรรมเหล็กไทยนับจากนี้

การใช้กำลังผลิตเหลือแค่ 29%

นายบัณฑูรย์ กล่าวว่า โจทย์ใหญ่ที่เป็นความท้าทายของอุตสาหกรรมเหล็กไทย ณ เวลานี้ คือ อัตราการใช้กำลังการผลิตที่ตํ่ามาก โดยปี 2566 การใช้กำลังการผลิตโดยรวมเฉลี่ยเพียง 31.22% หากสถานการณ์ยังคงเป็นอย่างนี้ต่อไป มีโอกาสสูงที่จะมีโรงงานที่ไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ต้องปิดตัวลงอีก โดยภาพรวมอุตสาหกรรมเหล็กไทยผู้ผลิตส่วนใหญ่มีผลประกอบการยํ่าแย่ชัดเจนตั้งแต่ปี 2565 มีสาเหตุหลักจากดีมานด์ในประเทศไม่เติบโต ขณะที่มีการแข่งขันสูงจากสินค้าเหล็กนำเข้า เฉพาะอย่างยิ่งจากประเทศจีน ที่มีการทุ่มตลาดอย่างต่อเนื่อง

 “ล่าสุดช่วง 2 เดือนแรกปีนี้ การใช้กำลังการผลิตโดยรวมเพียง 29.96% เท่านั้น ถือตํ่าสุดเป็นประวัติการณ์ ปัญหาเหล่านี้หากไม่ได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วนจะทำให้อุตสาหกรรมเหล็กไทยอ่อนแอลงไปเรื่อยๆ และบริษัทที่มีสายป่านไม่ยาวพอก็จะต้องปิดตัวลง จะกระทบกับเศรษฐกิจของประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยผลการศึกษาของ SCB EIC (ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์) ระบุทุก ๆ 1 แสนตันที่ผลิตเหล็กลดลงจะกระทบ GDP ลดลง 0.19% และการจ้างงานลดลง 1.2%”

แนะยืดเวลาห้ามตั้ง/ขยายเหล็กเส้น

ที่ผ่านมาสมาชิกกลุ่มอุตสาห กรรมเหล็กร่วมกับ 10 สมาคมผู้ประกอบการเหล็กไทย ได้เข้าพบหน่วยงานภาครัฐ ทั้งกระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพาณิชย์ และบีโอไอ เพื่อสื่อสารให้ทราบสถานการณ์วิกฤตที่กำลังเป็นอยู่ และด้วยปัญหาเชิงโครงสร้าง จากกำลังการผลิตส่วนเกินที่มีอยู่มาก ขณะที่มีการนำเข้าสินค้าเข้ามาทุ่มตลาดเพิ่มขึ้น การใช้กำลังการผลิต 70% ในทันที เป็นไปได้ยากมาก

ทั้งนี้ได้เรียกร้องขอการสนับสนุนจากรัฐ โดยหลักคือ 1.มาตรการห้ามตั้ง / ขยายโรงงาน โดยขอให้ขยายระยะเวลาบังคับใช้มาตรการฯ กรณีเหล็กเส้นเสริมคอนกรีตหรือเหล็กแท่งเล็กสำหรับเหล็กเส้นเสริมคอนกรีตที่กำลังจะหมดอายุลงในเดือนมกราคมปี 2568 และเพิ่มการบังคับใช้มาตรการฯ กรณีสินค้าเหล็กแผ่นรีดร้อน ซึ่งปัจจุบันมีอัตราการใช้กำลังการผลิตไม่ถึง 30% และยังมีโรงงานใหม่อยู่ระหว่างก่อสร้างคือโรงงานซินเคอหยวนที่จะเพิ่มกำลังผลิตอีก 5.6 ล้านตันต่อปี

2.การใช้มาตรการทางการค้ากับสินค้าเหล็กที่ทุ่มตลาด ทั้งการตอบโต้การทุ่มตลาด (AD) การตอบโต้การหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (AC) การตอบโต้การอุดหนุน (CVD) และมาตรการ Safeguard กรณีการนำเข้าที่เพิ่มขึ้นอย่างผิดปกติอย่างเร่งด่วน เพื่อไม่ให้มีความเสียหายกับอุตสาหกรรมภายในประเทศ

3.การบังคับใช้มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม(มอก.) เพื่อควบคุมคุณภาพและส่วนประกอบของสินค้าเหล็กเคลือบโลหะผสม และเหล็กโครงสร้าง Pre-Fabrication เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค ซึ่งหากมีการแข่งขันด้วยมาตรฐานสินค้าที่ทัดเทียมกัน ย่อมเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค

จีนครองส่วนแบ่งการผลิตโลก 55%

นายบัณฑูรย์ กล่าวถึงกรณีเหล็กจีนตีตลาดว่า มีผลกระทบมากต่ออุตสาหกรรมเหล็กโลก จากตัวเลขการผลิตในปี 2566 การผลิตเหล็กดิบทั่วโลกที่ปริมาณ 1,850 ล้านตัน ในจำนวนนี้ 1,019 ล้านตันเป็นการผลิตจากประเทศจีน หรือมีส่วนแบ่งกำลังการผลิตมากกว่า 55% เรียกได้ว่ามีอำนาจในการแข่งขันสูงมาก

 “ในปี 2566 จีนส่งออกเหล็กสูงเป็นประวัติการณ์ในรอบ 7 ปีที่ 90 ล้านตัน เนื่องจากอุปสงค์ในประเทศลดลงจากปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์ ปริมาณการส่งออกมหาศาลของจีนนี้ มีอาเซียนเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่เป็นเป้าหมาย แม้ไทยจะมีมาตรการ AD เช่นในกรณีเหล็กแผ่นรีดร้อน การนำเข้าในปี 2565-2566 ก็ไม่ได้ลดลง แต่กลับเพิ่มขึ้นด้วยการหลบเลี่ยงมาตรการ AD โดยเติมโลหะผสมลงไปในเหล็กเพียงเล็กน้อย เพื่อให้มีพิกัดศุลกากรที่ไม่ต้องเสียอากร AD ทำให้ภาครัฐสูญเสียอากรที่ควรเรียกเก็บได้ และยังคงมีการทุ่มตลาดอย่างต่อเนื่อง จนเกิดความเสียหายกับอุตสาหกรรมในประเทศ”

ดังนั้นผู้ประกอบการจึงต้องการมาตรการที่รวดเร็วจากรัฐบาล เช่นเดียวกับรัฐบาลประเทศต่าง ๆ เช่น สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป แคนาดา เม็กซิโก มาเลเซีย และอินโดนีเซียที่ได้ประกาศใช้มาตรการเพื่อปกป้องผู้ผลิตในประเทศของตนจากการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมจากเหล็กนำเข้า

หวังงบปี 67ช่วยกระตุ้นใช้เหล็ก

สำหรับภาพรวมตลาด จากข้อมูลสถาบันเหล็ก ในปี 2566 ไทยมีความต้องการใช้เหล็กในประเทศ 16.3 ล้านตัน แบ่งเป็นเหล็กทรงยาว 6.2 ล้านตัน  และเหล็กทรงแบน 10.1 ล้านตัน และคาดการณ์ปริมาณการใช้เหล็กในประเทศปี 2567 เท่ากับ 16.8 ล้านตัน ซึ่งภาคอุตสาหกรรมฝากความหวังไว้ที่การเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐที่รวดเร็ว เพื่อช่วยกระตุ้นการใช้เหล็กในประเทศ

อย่างไรก็ตามในปี 2567 ภาพรวมเศรษฐกิจไทยที่คาดว่าจะฟื้นตัวอย่างช้า ๆ และเศรษฐกิจโลกยังคงทรงตัวหรือถดถอยในบางภูมิภาค โดยรวมน่าจะยังไม่เอื้ออำนวยกับอุตสาหกรรมเหล็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากดีมานด์ในประเทศจีนยังคงลดลงต่อเนื่อง แต่ยังไม่ยอมปรับลดกำลังการผลิต จะทำให้มีการส่งออกในปริมาณมากขึ้นจากจีน และกดดันราคาเหล็กในภูมิภาคต่อไป

พันธกิจสำคัญหลังรับตำแหน่ง

“การเข้ามารับตำแหน่งในครั้งนี้ได้นำเสนอวิสัยทัศน์ และพันธกิจของกลุ่มอุตสาหกรรมวาระ 2567-2569  คือมุ่งสร้างความยั่งยืนให้กับอุตสาหกรรมเหล็กซึ่งเป็นอุตสาหกรรมพื้นฐาน เพื่อประโยชน์ต่อการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ โดยมีพันธกิจ 1.ส่งเสริมการดำเนินธุรกิจตามหลักความยั่งยืน (ESG) เพื่อเชื่อมโยงไปสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ของประเทศ

2.สื่อสารข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับอุตสาหกรรมเหล็กที่แม่นยำ เชื่อถือได้เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องและทันต่อเหตุการณ์ให้กับภาครัฐ ภาคสังคม และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างสม่ำเสมอ 3.สนับสนุนแผนอุตสาหกรรมเหล็กยั่งยืน (Steel Industry 4.0) สู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม  4.ร่วมมือเพื่อเตรียมความพร้อมของสมาชิกกลุ่มฯ สำหรับมาตรการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับ Decarbonization  5.เสริมสร้างความร่วมมือระหว่างสมาชิกในกลุ่มฯ และระหว่างกลุ่มฯ และสมาคมที่เกี่ยวข้องเพื่อความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทาน” นายบัณฑูรย์ กล่าว


แหล่งที่มา : ฐานเศรษบกิจ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

The information in the above report, publication and website has been obtained from sources believed to be reliable. However, Iron & Steel Institute of Thailand does not guarantee the accuracy, adequacy or completeness of the information. Any opinions or forecasts regarding future events may differ from actual events or results. In addition, Iron & Steel Institute of Thailand reserves the right to make changes and corrections to the information, including any opinions or forecasts, at any time without notice.