นายวชิร คูณทวีเทพ ผู้อำนวยการสถาบันยุทธศาสตร์การค้า มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย (TCC-CI) เดือนเม.ย. 67 ซึ่งเป็นการสำรวจความคิดเห็นของภาคธุรกิจและหอการค้าทั่วประเทศ จำนวน 369 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 23-30 เม.ย. 67 โดยดัชนีฯ อยู่ที่ระดับ 55.3 เพิ่มขึ้นจากระดับ 55.2 ในเดือนมี.ค. 67
โดยดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทยในแต่ละภูมิภาค เป็นดังนี้
กรุงเทพฯ และปริมณฑล ดัชนีฯ อยู่ที่ 55.0 เพิ่มขึ้นจากเดือนมี.ค. ซึ่งอยู่ที่ 54.8
ภาคกลาง ดัชนีฯ อยู่ที่ 55.1 เพิ่มขึ้นจากเดือนมี.ค. ซึ่งอยู่ที่ 55.0
ภาคตะวันออก ดัชนีฯ อยู่ที่ 57.8 เพิ่มขึ้นจากเดือนมี.ค. ซึ่งอยู่ที่ 57.7
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ดัชนีฯ อยู่ที่ 53.9 เพิ่มขึ้นจากเดือนมี.ค. ซึ่งอยู่ที่ 53.8
ภาคเหนือ ดัชนีฯ อยู่ที่ 55.4 เพิ่มขึ้นจากเดือนมี.ค. ซึ่งอยู่ที่ 55.3
ภาคใต้ ดัชนีฯ อยู่ที่ 54.6 เพิ่มขึ้นจากเดือนมี.ค. ซึ่งอยู่ที่ 54.4
ปัจจัยบวก ได้แก่
ปัจจัยลบ ได้แก่
ทั้งนี้ ภาคธุรกิจเสนอแนวทางดำเนินการในการแก้ไขปัญหา ดังนี้
แนวทางการแก้ไขปัญหาเรื่องของการบริหารจัดการน้ำให้มีใช้เพียงพอกับภาคการเกษตร ภาคอุตสาหกรรม และภาคครัวเรือน
หาแนวทางการแก้ไขหรือมาตรการเยียวยาผู้ประกอบการ หากมีการขึ้นอัตราค่าแรงขั้นค่าขึ้นตามประกาศรัฐบาล
มาตรการส่งเสริมและกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมทั้งแนวทางการเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวให้มีการจับจ่ายซื้อของเพื่อเพิ่มกำลังซื้อในพื้นที่
การดูแล และรักษาเสถียรภาพของค่าเงินบาทให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมต่อภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน และการค้าการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ
ด้านนายธนวรรธน์ พลวิชัย ประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ และอธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า จากการสำรวจความเห็นของผู้ประกอบการ พบว่ายังมีความกังวลต่อนโยบายการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็นวันละ 400 บาทเท่ากันทั่วประเทศ เนื่องจากมองว่า การปรับขึ้นค่าแรงควรขึ้นตามศักยภาพของแต่ละจังหวัด และแต่ละธุรกิจมากกว่า โดยเห็นว่าไม่ควรจะขึ้นเกิน 370 บาท หรือบางธุรกิจอาจมองว่าต้องต่ำกว่านี้
ทั้งนี้ ควรให้อนุกรรมการระดับจังหวัดทบทวนตัวเลขของจังหวัดตัวเองว่าควรเป็นเท่าไร ดังนั้นในท้ายสุดแล้ว อาจจะเห็นค่าแรงไม่เท่ากันทั้งประเทศ
นอกจากนี้ ผู้ประกอบการยังต้องการให้ภาครัฐเข้ามาช่วยเยียวยา เพราะการปรับขึ้นค่าแรง จะเป็นภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้นของผู้ประกอบการโดยตรง ซึ่งหากผู้ประกอบการไม่สามารถแบกรับภาระต้นทุนในส่วนนี้ได้ ก็จะเกิดการปลดคนงาน และหันไปใช้เครื่องจักรมาทดแทน หรือการใช้ AI เข้ามาแทนที่แรงงานคนมากขึ้น
"แต่หากรัฐบาลมีมาตรการที่ชัดเจน ว่าจะเยียวยาอะไรได้บ้าง ซึ่งเป็นการทดแทนหรือชดเชยกับการที่ผู้ประกอบการต้องรับภาระขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำนี้ ก็อาจจะสามารถชดเชยกันได้...เมื่อค่าแรงขั้นต่ำปรับขึ้นเร็ว ก็จะเห็น AI เข้ามาแทนที่คนเร็วขึ้นเช่นกัน การปรับขึ้นค่าแรง ควรมีงานวิจัยถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นว่าเป็นอย่างไร หรือได้ผลในเชิงบวกอย่างไร ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้เกิดความกลัว หรือไม่ให้เกิดข้อถกเถียงกัน" นายธนวรรธน์ กล่าว