สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) แถลงภาวะเศรษฐกิจไตรมาส 1/67 เติบโต 1.5% จากตลาดคาดว่าจะเติบโตราว 0.7-0.8% เนื่องจากการบริโภคภาคเอกชนขยายตัวดี รวมทั้งการส่งออกและการท่องเที่ยวที่ยังเติบโตได้ดี
อย่างไรก็ตาม สภาพัฒน์ ได้ปรับคาดการณ์ GDP ในปี 67 ลงเหลือเติบโต 2-3% หรือช่วงกลางของคาดการณ์ที่ 2.5% จากเดิมที่เคยคาดว่าจะเติบโต 2.2-3.2% เนื่องจากการส่งออกฟื้นตัวช้ากว่าคาด การลงทุนภาคเอกชนขยายตัวต่ำกว่าที่เคยคาด และการลงทุนภาครัฐยังหดตัว
*GDP ไตรมาส 1/67 โต 1.5% ลดลงจาก Q4/66
นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการ สภาพัฒน์ กล่าวว่า ภาคการผลิตในไตรมาส 1/67 ขยายตัวได้ 1.5% ลดลงจาก 1.7% ในไตรมาส 4/66 เป็นผลจากภาคเกษตร ลดลง 3.5% ที่ผลผลิตพืชเกษตรสำคัญ เช่น ข้าวเปลือก ปาล์มน้ำมัน อ้อยและผลไม้ ลดลง การผลิตภาคนอกเกษตร ขยายตัวได้ 2.0% การผลิตภาคบริการ ขยายตัว 3.6% ขณะที่การผลิตภาคอุตสาหกรรม ลดลง 1.2% ตามการลดลงของการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง
สำหรับการลงทุนภาครัฐ ลดลงถึง 27.7% เป็นการลดลงต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 4 เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/66 ที่ลดลง 20.1% ปัจจัยหลักมาจากความล่าช้าในการประกาศใช้ พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 ขณะที่การลงทุนของรัฐวิสาหกิจ ลดลง 2.8 % ขณะที่การลงทุนภาคเอกชน ขยายตัวได้ 4.6% ซึ่งเป็นการขยายตัวทั้งด้านการก่อสร้าง และด้านเครื่องมือเครื่องจักร
การใช้จ่ายภาครัฐ ลดลง 2.1% ต่อเนื่องจากการลดลง 3% ในไตรมาส 4/66 เป็นผลจากความล่าช้าในการอนุมัติเบิกจ่ายงบประมาณ
สำหรับการบริโภคภาคเอกชน ขยายตัว 6.9% ต่อเนื่องจาก 7.4% ในไตรมาส 4/66 ปัจจัยสำคัญมาจากการปรับตัวดีขึ้นของภาคบริการด้านการท่องเที่ยว และความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่อยู่ในระดับสูงในรอบ 18 ไตรมาส รวมถึงสินค้ากึ่งคงทน สินค้าไม่คงทนและหมวดบริการขยายตัวต่อเนื่อง
ด้านการส่งออกสินค้า ลดลง 2.0% สำหรับสินค้าส่งออกที่ปรับตัวลดลงมาจากเครื่องปรับอากาศ รถกระบะและรถบรรทุก แผงวงจรรวมและชิ้นส่วน และชิ้นส่วนอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ส่วนสินค้าที่มูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้น เช่น ข้าว ยางพารา และคอมพิวเตอร์ เหล็กและเหล็กกล้า และอุปกรณ์สื่อสารโทรคมนาคม ซึ่งยังส่งผลให้ดุลการค้าเกินดุล 58.6 พันล้านบาท
*หั่นคาดการณ์ GDP ปี 67 เหลือโต 2-3% จากเดิม 2.2-3.2%
สภาพัฒน์ ปรับลดคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2567 จะขยายตัว 2-3% (ค่ากลาง 2.5%) จากเดิมคาดโตราว 2.2-3.2% แต่ปรับตัวดีขึ้นอย่างช้า ๆ จากการขยายตัว 1.9 % ในปี 2566
นายดนุชา กล่าวว่า ตัวเลขที่ปรับลงมาในแง่ภาคผลิตอุตสาหกรรม และภาคส่งออก มีสัดส่วนค่อนข้างมากใน GDP และมาจากสถานการณ์จากภายนอกประเทศด้วย แต่ในขณะนี้งบประมาณปี 67 ออกมาแล้ว ทำให้ช่วงที่เหลือของปี 67 เม็ดเงินจากภาครัฐทยอยเข้ามาในระบบเศรษฐกิจและต้องมีการเร่งเบิกจ่าย ถ้าทำได้ดี เศรษฐกิจไทยน่าขยายตัวในกรอบนี้ และการส่งออกถ้าสามารถขยายตลาดได้ น่าปรับตัวดีขึ้น โดยรวมแล้วเศรษฐกิจยังขยายตัวได้อยู่ 2.5%
สำหรับการส่งออกของไทยหากเร่งทำตลาดและปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมของไทยที่กระทบการส่งออก น่าจะมีส่วนช่วยให้การส่งออกปรับตัวดีขึ้นอย่างช้าๆ อย่างไรก็ตาม สัดส่วนของการส่งออกสินค้าที่เป็นสินค้าไฮเทคโนโลยียังคงน้อยเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเดียวกัน อย่างไรก็ตาม รัฐบาลได้เร่งดึงอุตสาหกรรมใหม่ๆ โดยเฉพาะเทคโนโลยีขั้นสูงผ่านกระบวนการบีโอไอ
*ปัจจัยสนับสนุนสำคัญในช่วงที่เหลือของปี ได้แก่
*ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามคือ
4.อัตราดอกเบี้ยนโยบาย มีการปรับลดลงช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ และการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนที่อาจจะเกิดขึ้น รวมทั้งความไม่แน่นอนของทิศทางนโยบายเศรษฐกิจและการค้าของหลายๆประเทศ ซึ่งที่ผ่านมามีมาตรการกีดกันทางการค้าที่สหรัฐอเมริกาใช้กับจีน ทำให้ไทยต้องมีการเฝ้าระวังการทุ่มตลาดและสินค้าที่เข้ามา ต้องเป็นสินค้าที่มีคุณภาพ
*การบริหารนโยบายเศรษฐกิจมหภาคในปี 2567 ควรต้องให้ความสำคัญกับประเด็นดังต่อไปนี้