วันหยุดตรุษจีนในประเทศจีนเริ่มต้นขึ้นอย่างน่าเป็นห่วงด้วยการโจมตีของไวรัสโคโรน่าอู่ฮั่น ที่ทำให้ความบรรยากาศในตลาดเหล็กและแร่เหล็กลดลง
ความกังวลเริ่มมาจากตลาดเอเชียคาดว่าจะมีผลกระทบทางเศรษฐกิจจากโคโรน่าไวรัสที่แพร่ระบาดในเมืองอู่ฮั่น (Wuhan) ในมณฑลหูเป่ย (Hubei province) ซึ่งเป็นกรณีแรกๆ ที่รายงานต่อองค์การอนามัยโลก ในวันที่ 31 ธันวาคม ปี 2562
คนในตลาดได้พูดคุยกันถึงผลกระทบที่อาจเป็นไปได้ ต่อการก่อสร้าง ถ้าสถานการณ์ไวรัสเลวร้ายลงในช่วงสุดสัปดาห์
คนงานในมณฑลหูเป่ยได้ขออยู่บ้านและคนงานในที่อื่นได้หลีกเลี่ยงเมืองต่างๆ ซึ่งมีจำนวนคนติดเชื้อเพิ่มขึ้น
ถ้าสถานการณ์อยู่ภายใต้การควบคุมได้แล้วใน 3 สัปดาห์นี้ การผลิตและการขายเหล็กทั้งหมดจะไม่ถูกกระทบ นักวิเคราะห์ในฮ่องกงกล่าว
แต่ถ้าสถานการณ์ไวรัสยังคงมีอยู่เป็นเวลาหลายเดือน อาจทำให้เกิดภาวะที่ความต้องการถูกทำลาย แต่ยังไม่มีรายงานเข้ามามากนักในจีน เนื่องจากเป็นวันหยุด จนกระทั่งสุดสัปดาห์นี้
ตั้งแต่เคสแรกได้ถูกรายงาน เคสจากต่างประเทศก็เกิดขึ้นในญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เวียดนาม และสหรัฐอเมริกา
ในขณะที่ผลกระทบฉับพลันที่มากที่สุดจะเกิดกับการเดินทาง ในการผลิตเหล็กอาจถูกกระทบเนื่องจากศูนย์กลางของโคโรน่าไวรัสอู่ฮั่น เป็นที่อยู่ของ Wuhan Iron and Steel Corporation (WISCO) ซึ่งโรงงานเหล็กที่รับวัตถุดิบผ่านแม่น้ำแยงซีเกียง โดยเมืองอู่ฮั่นเป็นศูนย์กลางการขนส่งที่สำคัญตามแม่น้ำแยงซีเกีย และแม่น้ำห้าชุย ในประเทศจีนตอนกลาง ซึ่งยักษ์ใหญ่แห่งวงการเหล็ก เป่าอู่สตีลกรุ๊ป เป็นเจ้าของ WISCO
ในวันที่ 23 มกราคม ประเทศจีนได้ปิดเมืองและระงับการเดินทางสำหรับเมืองอู่ฮั่น เมืองหวงกัง และเมืองเอ๋อเช็งชวู่
ถึงแม้ว่าจะไม่มีการระงับการเรียกเรือที่เมืองอู่ฮั่น รายงานบอกว่า ผู้เดินเรือขนาดใหญ่ได้รับการเรียกเรือน้อยลง อาจเป็นเพราะกำลังอยู่ในช่วงวันหยุดปีใหม่จีน ซึ่งจะเริ่มขึ้นในวันเสาร์นี้
โดยภาพรวม เป่าอู่ (Baowu) นำเข้าแร่เหล็กประมาณ 70.76 ล้านตันในปี 2561 จากรายงานประจำปี โดย WISCO มีการผลิตเหล็กประมาณ 25.8 ล้านตันในปี 2558 ซึ่งเป็นข้อมูลครั้งสุดท้ายที่เป็นข้อมูลแยกกัน เนื่องจากเป่าอู่และ WISCO ได้รวมกันในปี 2559
มณฑลหูเป่ย ในประเทศจีนตอนกลาง ซึ่งมีเมืองอู่ฮั่นตั้งอยู่ เป็นหนึ่งในมณฑลที่ผลิตเหล็กดิบน้อยกว่า 50 ล้านตัวในปี 2561 เมื่อเทียบกับปริมาณการผลิตเหล็กดิบของจีนทั้งหมดที่ 928.3 ล้านตัน
เป่าอู่ได้ประกาศมาตรการทั้งประเทศในการป้องกันการระบาดของไวรัส รวมทั้งการลดการประชุมและการชุมนุมใหญ่ๆ โดยใช้การประชุมทางวีดีโอแทน
มองกลับไปที่โรคซาร์ส (SARS)
มีการเปรียบเทียบกับการระบาดล่าสุดของ Severe Acute Respiratory Syndrome หรือโรคซาร์ส (SARS) ในปี 2546 โรคซาร์สมีผลกระทบในภูมิภาคเอเชียมากกว่า เนื่องจากภูมิภาคนี้ได้ฟื้นตัวจากวิกฤตการเงินในปี 2540 และไม่ได้มีการคาดว่าจะมีโรคซาร์สเกิดขึ้น
ในปี 2546 ประเทศจีนไม่ใช่ยักษ์ใหญ่ด้านเหล็กอย่างที่เป็นอยู่ในขนาดนี้ และยังไม่ได้เริ่มส่งออกเหล็กในปริมาณที่มาก
ประเทศจีนได้ผลิตเหล็กดิบ 222 ล้านตันในปี 2546 เทียบกับการผลิตโลกที่ 970 ล้านตัน จากข้อมูลของ World Steel Association ในปี 2562 ประเทศจีนผลิตเหล็กดิบ 996 ล้านตัน จากข้อมูลของ National Bureau of Statistics
ประเทศญี่ปุ่นมีการผลิตเหล็ก 110 ล้านตันในปี 2546 ในขณะนั้น มีการใช้อีเมล์กันน้อยมาก และธุรกิจส่วนใหญ่ใช้การเจรจากันแบบเผชิญหน้า
โดยผลจากโรคซาร์ส กระทรวงต่างประเทศของญี่ปุ่นได้ออกการเตือนการเดินทางไปยังประเทศจีน และแนะนำให้นักศึกษาชาวญี่ปุ่นให้เดินทางกลับญี่ปุ่น
บริษัทญี่ปุ่นที่มีสถานประกอบการในจีน เช่น มัตสุชิตะอีเลคทริกอินดัสเตีรยล (Matsushita Electric Industrial) ได้ถูกบังคับให้ปิดหลังจากตรวจพบคนงานที่เป็นโรคซาร์ส
โดยคาดการณ์ว่า ผู้เสียชีวิตจากโรคซาร์ส มีประมาณ 700 คนในประเทศจีน และทำให้ GDP ของจีนลดลงประมาณร้อยละ 1 รัฐบาลถูกวิจารณ์ว่าไม่มีความโปร่งใสในเรื่องนี้
GDP ของจีน ฮ่องกง มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และไต้หวัน ลดลงมากกว่าประเทศอื่น เนื่องมาจากโรคซาร์ส
-- Clement Choo, Paul Bartholomew, Lu Han, Jun Kai Heng, Keith Tan