TSTHคาดรักษายอดขายงวดปี63(สิ้นสุดมี.ค.)ใกล้เคียงงวดปี62/63ที่1.21ล้านตันแม้ดีมานด์ลดลง

10 สิงหาคม 2563
TSTHคาดรักษายอดขายงวดปี63(สิ้นสุดมี.ค.)ใกล้เคียงงวดปี62/63ที่1.21ล้านตันแม้ดีมานด์ลดลง

บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด(มหาชน) ประกาศผลประกอบการไตรมาสสอง ปี 2563 มียอดรับรู้รายได้ที่ 1,304.4 ล้านบาท ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 50% โดยบริษัทยังคงรักษาความสามารถในการบริหารจัดการต้นทุนต่างๆ ได้ดีกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมได้อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้อัตราส่วนความสามารถในการทำกำไรของบริษัทปรับเพิ่มขึ้น นอกจากนี้บริษัทมีการบันทึกรายการกำไรที่เกิดจากการถูกเวนคืนโครงการขายโครงการหนึ่งของบริษัท ซึ่งบริษัทได้รับเงินชดเชยมาเป็นที่เรียบร้อย ส่งผลให้ในไตรมาสสองนี้ บริษัทมีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 395.8 ล้านบาท ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 164%

ทั้งนี้ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ได้มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลให้กับผู้ถือหุ้นในอัตราหุ้นละ 0.25 บาท โดยกำหนดวัน Record Date ผู้มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 28 สิงหาคม 2563 และจะจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นในวันที่ 11 กันยายน 2563 นี้ ซึ่งเมื่อเทียบกับระดับราคาหุ้นปัจจุบัน คิดเป็น Dividend Yield ทั้งปีที่ราว 9.7%
นายไชยยันต์ ชาครกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ภายใต้คอนเซ็ปท์ “บ้านที่ปลูกบนความตั้งใจที่ดี” กล่าวว่า ในปี 2563 นี้ เป็นอีกปีที่ท้าทายการดำเนินธุรกิจอย่างมาก โดยเฉพาะปัญหาจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ซึ่งได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อภาคเศรษฐกิจไปทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ทั้งนี้คาดการณ์ว่า GDP ของไทยในปีนี้จะหดตัวไม่ต่ำกว่า 7-8% โดยเหลือเพียงเครื่องยนต์เดียว คือการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐ ที่จะเป็นตัวช่วยประคับประคองเศรษฐกิจ ในขณะที่เครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ, การส่งออก, การบริโภค และการลงทุนภาคเอกชน ล้วนได้รับผลกระทบและหดตัวลงอย่างมาก ในส่วนของภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในภาพรวม มีการหดตัวลงเช่นเดียวกันกับเศรษฐกิจหลัก โดยเริ่มเห็นหลายบริษัทได้รับผลกระทบ และประสบกับภาวะขาดทุน

ในแง่ของบริษัท ซึ่งเน้นทำตลาดในกลุ่มที่เป็นความต้องการซื้อที่แท้จริง (Real Demand) และมีการบริหารงานที่มีการปรับเปลี่ยนแผนกลยุทธ์ให้สอดรับกับสถานการณ์ ช่วยให้บริษัทยังคงสามารถบริหารธุรกิจได้เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ มียอดรับรู้รายได้แล้ว 2,562 ล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 18% ในขณะที่บริษัทยังคงบริหารจัดการต้นทุนต่างๆ ได้เป็นอย่างดี สะท้อนในอัตราส่วนความสามารถในการทำกำไรที่ปรับเพิ่มขึ้น โดยระดับอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ในช่วงครึ่งปีแรกอยู่ที่ระดับ 39.2% เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 38.9% ในขณะที่อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขาย (SG&A/Sales) ปรับลดลงจาก 11.4% มาอยู่ที่ 10.1% นอกจากนี้ในไตรมาสสองนี้ บริษัทมีการบันทึกกำไรพิเศษที่เกิดจากถูกเวนคืนในโครงการหนึ่งของบริษัท ส่งผลให้ในครึ่งแรกของปี 2563 นี้ บริษัทมีกำไรสุทธิรวมทั้งสิ้น 643 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 60%

สำหรับการขยายธุรกิจ ในปีนี้บริษัทยังคงเดินหน้าลงทุนขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยช่วงครึ่งปีแรกเปิดโครงการใหม่ไปแล้วทั้งสิ้น 5 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 3,500 ล้านบาท ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นการเปิดเพื่อทดแทนโครงการเดิมที่ใกล้ปิดโครงการลง และบริษัทอยู่ระหว่างเตรียมเปิดโครงการใหม่เพิ่มเติมอีก 2 โครงการ ในช่วง เดือนนี้ต่อเดือนหน้า ทั้งนี้แม้ว่าบริษัทจะมีการขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง แต่บริษัทยังคงคุมความเสี่ยงทางการเงิน และรักษาระดับ D/E Ratio ได้ดีกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม โดย ณ สิ้นไตรมาสสองมีระดับอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) อยู่เพียงแค่ 0.77 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ที่ราว 1.5 เท่า
อ่านต่อได้ที่ :https://www.ryt9.com/s/prg/3150091


แหล่งที่มา : RYT9

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

The information in the above report, publication and website has been obtained from sources believed to be reliable. However, Iron & Steel Institute of Thailand does not guarantee the accuracy, adequacy or completeness of the information. Any opinions or forecasts regarding future events may differ from actual events or results. In addition, Iron & Steel Institute of Thailand reserves the right to make changes and corrections to the information, including any opinions or forecasts, at any time without notice.