อุตสาหกรรมเหล็ก ช่วง 3-5 ปีที่ผ่านมาพบกับความยากลำบากในการทำธุรกิจ ทั้งเศรษฐกิจโลกยํ่าแย่ ราคาวัตถุดิบต้นทางไม่ว่าจะเป็นสินแร่เหล็ก, บิลเล็ต (วัตถุดิบสำหรับผลิตเหล็กทรงยาว เช่น เหล็กเส้น), สแลป (วัตถุดิบสำหรับผลิตเหล็กทรงแบน เช่นกลุ่มเหล็กแผ่น) ล้วนมีราคาผันผวน อีกทั้งภาพรวมราคาเหล็กในตลาดโลกอยู่ในภาวะขาลง โดยมีจีนเป็นตัวแปรสำคัญเนื่องจากเป็นผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ของโลก ขณะที่ผู้ผลิตเหล็กในไทยก็ตกที่นั่งลำบาก ผู้ประกอบการขนาดกลาง แบกภาระขาดทุนทนพิษไข้ไม่ไหวก็ปิดกิจการไป รายใหญ่ก็ดิ้นรนปรับกลยุทธ์ด้านผลิตและด้านการตลาดเป็นรายวัน ทั้งลดต้นทุนด้านคน ลดสต๊อกวัตถุดิบ เพื่อลดความเสี่ยงของราคาที่ผันผวน
เปิดมาต้นปี 2564 มีคำถามว่าจะมีข่าวดี ๆ เกิดขึ้นกับอุตสาหกรรมเหล็กไทยได้หรือยัง มาฟังมุมมองจาก 2กูรูในวงการเหล็ก ท่านแรก นายวิโรจน์ โรจน์วัฒนชัยผู้อำนวยการสถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย และนายกรกฏ ผดุงจิตต์ เลขาธิการกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ฉายภาพให้เห็นข่าวดีของวงการเหล็กในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ โดยเฉพาะความเคลื่อนไหวด้านราคา น่าติดตาม
สัญญาณบวกเริ่มมา
นายวิโรจน์ โรจน์วัฒนชัย ผู้อำนวยการสถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย เผยว่า ช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาเริ่มมองเห็นสัญญาณบวก จากราคาเหล็กในตลาดโลกปรับเพิ่มขึ้นทุกตลาด ทั้งราคาผลิตภัณฑ์เหล็ก และราคาวัตถุดิบ โดยราคาเหล็กเส้นก่อสร้าง (Rebar) ในภูมิภาคอาเซียนปรับเพิ่มจาก 462 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตัน ช่วงต้นเดือนตุลาคม 2563 ทะยานขึ้นไปสูงสุดที่ 643 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตันช่วงสัปดาห์สุดท้ายของปี 2563 หรือเพิ่มขึ้น 38% ในระยะเวลา 3 เดือน เมื่อเข้าสู่ต้นปี 2564 ราคาได้เพิ่มต่อเนื่องมาอยู่ที่ 647 ดอลลาร์สหรัฐฯ
ขณะที่ราคาเศษเหล็ก พบว่า เพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงกว่า โดยเศษเหล็ก HMS 1&2 ปรับเพิ่มจาก 270 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตัน ช่วงต้นเดือนตุลาคม 2563 และสูงสุดที่ 436 ดอลลาร์ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของปี คิดเป็นการเพิ่มขึ้น 61% ในช่วง 3 เดือน กระทั่งหลังปีใหม่ราคายังคงปรับขึ้นต่อที่ 445 ดอลลาร์สหรัฐฯ ก่อนอ่อนตัวลงเล็กน้อยมาที่ 443 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในปัจจุบัน
สำหรับราคาเหล็กกึ่งสำเร็จรูปทั้งบิลเล็ต (ใช้แปรรูปเป็นเหล็กเส้น เหล็กลวด เป็นต้น) / สแลป (ใช้แปรรูปร้อนเป็นเหล็กแผ่นรีดร้อน) มีราคาเพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยราคาบิลเล็ตในโซนภูมิภาคอาเซียนเพิ่มจาก 445 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตันในช่วงต้นเดือนตุลาคม 2563 เป็น 586 ดอลลาร์สหรัฐฯ ช่วงสิ้นปี (เพิ่มขึ้น 32%) และทำสถิติสูงสุดในปัจจุบันที่ราคา 604 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน ส่วนราคาสแลปเพิ่มจาก 465 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตันช่วงต้นเดือนตุลาคม 2563 ขึ้นมาเป็น 630 ดอลล์าร์สหรัฐฯ ในช่วงเวลาเดียวกัน (เพิ่มขึ้น 35%) และยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่องมาอยู่ที่ 663 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในปัจจุบัน
อ่านต่อได้ที่: https://www.thansettakij.com/content/columnist/466774