“โจ ไบเดน” ประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่ เข้ามารับหน้าที่บนสถานการณ์ที่สหรัฐกำลังเผชิญภาวะวิกฤติโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจสหรัฐ ในขณะที่นโยบายหลายด้านจะมีส่วนกดดันให้บริษัทสหรัฐกลับมาใช้นโยบายออกไปลงทุนนอกประเทศมากขึ้น
มนตรี โสคติยานุรักษ์ ผู้อำนวยการหลักสูตรวิทยาการการจัดการสำหรับนักบริหารระดับสูง (วบส.) สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ กล่าวว่า นโยบายของ “โจ ไบเดน” ประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่จากพรรคเดโมแครตถือว่ามีพื้นฐานนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศที่แตกต่างจาก “โดนัลด์ ทรัมป์” อดีตประธานาธิบดีสหรัฐจากพรรครีพลับรีกันชัดเจน
ทั้งนี้ ไบเดนจะให้ความสำคัญกับนโยบายการค้าระหว่างประเทศเพิ่มการส่งออกสินค้า ซึ่งทำให้บรรยากาศการค้าของโลกมีความผ่อนคลายมากขึ้นแม้จะยังมีสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนอยู่แต่จะมีแนวทางการเจรจาเพื่อให้ทั้ง 2 ประเทศทำการค้าได้มากขึ้น
รวมทั้งเศรษฐกิจสหรัฐมีขนาดใหญ่ที่สุดของโลกคือมีสัดส่วนประมาณ 17% ของจีดีพีโลก ดังนั้นเมื่อสหรัฐมีการใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ เน้นการเพิ่มการบริโภคเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ ความต้องการสินค้าต่างในสหรัฐจะมากขึ้นกระตุ้นให้เกิดการผลิตและการจ้างงานอย่างต่อเนื่อง รวมถึงความต้องการนำเข้าสินค้าในสหรัฐมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นซึ่งเป็นโอกาสของประเทศไทยในการส่งออกสินค้าไปทั้งยังสหรัฐฯและจีนซึ่งเป็นตลาดส่งออกสินค้าอันดับ 1 และ 2 ของไทยได้มากขึ้น
อย่างไรก็ตามนโยบายของ “ไบเดน” ที่จะเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำในสหรัฐเป็น 15 ดอลลาร์ต่อชั่วโมงจากเดิมที่ 7.25 ดอลลาร์ต่อชั่วโมง รวมถึงการปรับเพิ่มภาษีนิติบุคคลจาก 21% เป็น 28% จะมีส่วนสำคัญในทำให้เกิดการย้ายฐานการผลิตของบางอุตสาหกรรมออกจากสหรัฐมากขึ้นด้วย
“หลายบริษัทในสหรัฐจะกลับมาใช้นโยบายออกไปลงทุนภายนอกประเทศมากขึ้นโดยภูมิภาคหนึ่งที่บริษัทสหรัฐให้ความสนใจเข้ามาลงทุน คือ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทยทำให้เป็นโอกาสที่จะมีการลงทุนใเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ อีอีซี เพิ่มขึ้นด้วย”
อ่านต่อได้ที่ : http://bit.ly/3p2572f
แหล่งที่มา : กรุงเทพธุรกิจ