ด้วยเหตุนี้ เหล่าผู้ผลิตเหล็กของบราซิลจึงขอให้รัฐบาลขึ้นกำแพงภาษีเหล็กจีนให้อยู่ระหว่าง 9.6% และ 25%
นอกจากเหล็กแล้ว “เคมีภัณฑ์” สำคัญอย่าง Phthalic anhydride (ฟาทาลิกแอนไฮดราย) ในการผลิตพลาสติก ก็มีปริมาณการนำเข้าจากจีนสูงขึ้นมากกว่า 2,000% ระหว่างเดือน ก.ค. 2561 และ มิ.ย. 2566
ส่วน “ล้อรถ” ที่เข้ามาในบราซิลได้เพิ่มขึ้นมากกว่า 100% จาก 23 ล้านชิ้น เป็น 47 ล้านชิ้นในช่วงเวลาเดียวกัน โดยราว 80% มาจากจีน
จากปรากฏการณ์เช่นนี้ รัฐมนตรีอุตสาหกรรมบราซิลจึงเปิดการสืบสวนการทุ่มตลาดของจีน โดยคาดว่าใช้ระยะเวลา 18 เดือน และจะสรุปเป็นมาตรการแก้ปัญหาต่อไป
ถ้าดูสิ่งที่ผู้ประกอบการเรียกร้องให้รัฐบาลทำ อย่าง “การขึ้นกำแพงภาษี” สินค้าจีน เพื่อไม่ให้มีราคาต่ำเกินไป และอุตสาหกรรมในประเทศจะได้แข่งขันได้นั้น ไม่ใช่จะทำได้โดยง่าย เนื่องจากจีนเป็นคู่ค้าสำคัญของบราซิล โดยเป็น “ลูกค้ารายใหญ่ที่สุด” ที่ซื้อถั่วเหลืองจากบราซิลเป็นจำนวนมาก ซึ่งสัดส่วนถั่วเหลืองที่ส่งออกไปจีนสูงถึง 73% ตามข้อมูลจากแผนกการเกษตรและเศรษฐศาสตร์การบริโภคของมหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ปี 2567
ดังนั้น การใช้กำแพงภาษี อาจทำให้จีนตัดสินใจลดการนำเข้าถั่วเหลืองบราซิลแทน และกระทบรายได้เหล่าเกษตรกร นับเป็น “โจทย์หนัก” ของประธานาธิบดีบราซิลฝ่ายซ้ายอย่าง ลูอิซ อินาซิโอ ลูลา ดา ซิลวา (Luiz Inácio Lula da Silva) ที่ต้องรักษาความสัมพันธ์ทางการค้ากับจีน ขณะเดียวกันก็ต้องปกป้องผู้ค้าในประเทศ