ขณะที่ปี 68 เศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวต่อเนื่องที่ 2.9% ส่วนหนึ่งจากการฟื้นตัวของการลงทุนภาคเอกชนและการเบิกจ่ายภาครัฐที่กลับมาเป็นปกติ
SCB EIC ระบุว่า การเมืองในประเทศ อาจกระทบต่อนโยบายทางเศรษฐกิจของพรรคการเมืองที่มีความไม่แน่นอนมากขึ้น ซึ่งทำให้นักลงทุนขาดความเชื่อมั่นและหันไปลงทุนกับประเทศที่มีนโยบายทางเศรษฐกิจที่มีทิศทางชัดเจน นอกจากนี้ ยังอาจกระทบต่อการพิจารณางบประมาณภาครัฐปี 68 อีกด้วย ซึ่งนอกจากกรณีคดีคุณสมบัตินายกฯแล้ว ความเสี่ยงทางการเมืองของไทยอาจสูงขึ้นอีกในระยะข้างหน้า เช่น ประเด็นนิรโทษกรรมและการตัดสินยุบพรรคก้าวไกล
“เราประมาณการการเติบโตเศรษฐกิจไทยปี 67 ครั้งที่แล้ว 3% เมื่อ 3 เดือนที่แล้วเราคิดว่าโตได้ 2.7% รอบนี้เราปรับลงเหลือ 2.5% ความกังวลของเรามีต่อเศรษฐกิจไทยค่อนข้างมาก”
SCB EIC มองว่าองค์ประกอบของเศรษฐกิจไทยยังมีแรงกดดันจาก
(1) การส่งออกสินค้าที่จะขยายตัวจำกัดส่วนหนึ่งเพราะการส่งออกไทยเริ่มฟื้นตัวไม่สอดคล้องกับปริมาณการค้าโลกมากขึ้น โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มเหล็ก ผลไม้ และ HDD ที่จะหดตัวในปีนี้
(2) ภาคการผลิตที่จะฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปโดยมีแรงกดดันทั้งปัจจัยภายนอกจากสินค้าจีนที่เข้ามาตีตลาดเนื่องจากจีนมีปัญหา Overcapacity ในประเทศ รวมถึงปัจจัยภายในจากอุปสงค์ในประเทศที่เริ่มมีสัญญาณแผ่วลง และ
(3) การลงทุนภาครัฐที่แม้จะกลับมาเร่งตัวจากการเร่งรัดเบิกจ่ายหลัง พ.ร.บ. งบประมาณปี 2567 ล่าช้ากว่าครึ่งปี แต่จะไม่สามารถชดเชยการหดตัวรุนแรงในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ได้
สำหรับโครงการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ตของรัฐบาล SCB EIC เห็นว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้จริง แต่เป็นการกระตุ้นระยะสั้น สิ่งที่ตามมาคือภาระการคลังหรือหนี้สาธารณะที่สูงขึ้น ซึ่งจะเป็นปัญหาในระยะยาวได้ โดยมีมุมมองว่ารัฐบาลควรจะเยียวยาเฉพาะกลุ่มมากกว่า ขณะเดียวกัน ต้องคู่ขนานไปกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือกระตุ้นให้มีการจ้างงาน
ขณะที่ระยะยาวเศรษฐกิจไทยเผชิญความเปราะบางมากขึ้นทั้ง (1) ภาคครัวเรือน : กลุ่มคนรายได้น้อยขาดกันชนทางการเงินที่เพียงพอในระยะข้างหน้า เช่น เงินสำรองฉุกเฉินและประกันความเสี่ยงรูปแบบต่าง ๆ และ (2) ภาคธุรกิจ : แม้โดยรวมมีแนวโน้มฟื้นตัว แต่บางกลุ่มยังเปราะบางค่อนข้างมาก โดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็กที่มีหนี้สูงมากขึ้น ท่ามกลางปัญหาโครงสร้างของภาคการผลิตไทย SCB EIC ประเมินว่า แม้จะมีมาตรการการเงินเน้นช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางภาคครัวเรือนและธุรกิจมากขึ้น แต่ยังต้องใช้เวลากว่ามาตรการจะเห็นผลในวงกว้าง
SCB EIC มีมุมมองว่า กนง. จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 1 ครั้งปลายปี 67 เหลือ 2.25% และปรับลดอีกครั้งเหลือ 2% ในช่วงต้นปี 68 จากแรงส่งอุปสงค์ในประเทศในระยะข้างหน้าที่อาจได้รับผลกระทบเพิ่มเติมจากฐานะครัวเรือนที่ยังเปราะบางและปัญหาเชิงโครงสร้างที่ยังมีอยู่ รวมถึงภาวะการเงินตึงตัวที่จะส่งผลกระทบชัดเจนขึ้น และความเสี่ยงเศรษฐกิจในปีหน้าที่จะปรับเพิ่มขึ้น
สำหรับค่าเงินบาทผันผวนสูงต่อเนื่องจากปัจจัยการเมืองในประเทศ และแนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ช้าลงแม้ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเริ่มออกมาต่ำกว่าคาดการณ์ตลาด ในระยะสั้นคาดว่าเงินบาทจะแข็งค่าในกรอบ 35.80-36.80 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ โดยจะทยอยแข็งค่าขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย
อ่านต่อได้ที่: infoquest