"Reciprocal Tariffs" ของสหรัฐฯ และผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเหล็กกล้าของจีน

10 เมษายน 2568
"Reciprocal Tariffs" ของสหรัฐฯ และผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเหล็กกล้าของจีน

ผลต่อการส่งออกโดยตรง : สหรัฐอเมริกาเป็นหนึ่งในประเทศผู้นำเข้าเหล็กกล้ารายใหญ่ของโลก โดยในปี 2024 สหรัฐอเมริกานำเข้าเหล็ก 31.82 ล้านตัน (รวมบิลเล็ต) โดยมีซัพพลายเออร์หลัก ได้แก่ แคนาดา บราซิล สหภาพยุโรป เกาหลีใต้ และเม็กซิโก

อย่างไรก็ตาม มีการนำเข้าโดยตรงจากจีนเพียง 890,000 ตันเท่านั้น คิดเป็นเพียง 0.8% ของการส่งออกเหล็กทั้งหมดของจีน และคิดเป็น 2.8% ของการนำเข้าเหล็กของสหรัฐฯ แม้ว่ามาตรการ "ภาษีศุลกากร (reciprocal tariffs)" ของสหรัฐฯ ในรอบนี้จะไม่รวมเหล็ก อลูมิเนียม ทองคำ และทองแดง ไว้ในรายการภาษี แต่สหรัฐฯ ก็ได้กำหนดภาษีนำเข้าเหล็กภายใต้มาตรา 232 ไปแล้ว 25% โดยจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคม

ภายหลังจากที่ทรัมป์ประกาศเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ว่าจะจัดเก็บภาษีนำเข้าเหล็ก 25% ทำให้ประเทศต่างๆ เช่น เวียดนามและเกาหลีใต้ได้ริเริ่มมาตรการต่อต้านการทุ่มตลาด (anti-dumping measures) ต่อการส่งออกเหล็กของจีน ผลกระทบดังกล่าวจะส่งผลต่อการส่งออกเหล็กของจีนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยคาดการณ์ว่าการส่งออกเหล็กของจีนในปีนี้อาจลดลง 15 ล้านตันถึง 19.5 ล้านตัน

ผลกระทบการส่งออกทางอ้อม : ประมาณ 60% ของการค้าต่างประเทศ การส่งออกของจีนประกอบด้วย electromechanical products ซึ่งช่วยกระตุ้นการส่งออกเหล็กทางอ้อมของจีนได้อย่างมาก ตามเว็บไซต์ของ SteelHome การส่งออกเหล็กทางอ้อมของจีนในปีที่แล้วอยู่ที่ประมาณ 150 ล้านตัน

สหรัฐฯ เป็นจุดหมายปลายทางการส่งออกที่ใหญ่เป็นอันดับสองของจีน โดยในปี 2024 มีมูลค่าการส่งออก 3.7 ล้านล้านหยวน คิดเป็น 14.7% ของการส่งออกทั้งหมดของจีน ซึ่งมากกว่าร้อยละ 50 ของการส่งออกเหล่านี้เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์เหล็ก โดยผลิตภัณฑ์กลุ่มเครื่องจักรกลและอิเล็กทรอนิกส์เพียงอย่างเดียวคิดเป็นมูลค่า 1.55 ล้านล้านหยวน หรือคิดเป็นร้อยละ 41.5 ของการส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา

การขึ้นภาษีของสหรัฐฯ อาจเป็นการส่งเสริมให้ประเทศอื่นๆ นำนโยบายคุ้มครองการค้ามาใช้ ซึ่งอาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อประเทศผู้ส่งออกสุทธิ

แรงกดดันที่เพิ่มขึ้นจากอุปทานส่วนเกิน ความไม่สมดุลระหว่างอุปทานและอุปสงค์เป็นปัญหาระยะยาวของภาคอุตสาหกรรมเหล็กของจีน ตามข้อมูลจากเว็บไซต์ SteelHome ระบุว่าปัจจุบันกำลังการผลิตของผลิตภัณฑ์เหล็กหลักๆ ในจีนมีเกินกว่าผลผลิต

การลดลงของการส่งออกโดยตรงหรือโดยอ้อมยิ่งจะเพิ่มแรงกดดันจากอุปทานที่เกินอุปสงค์  ซึ้งในปัจจุบันภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีนยังคงอยู่ในภาวะปรับตัว และการเติบโตของการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานยังคงซบเซา

อุตสาหกรรมเกิดใหม่ เช่น การผลิตอุปกรณ์และพลังงานใหม่ ก็สามารถให้การสนับสนุนความต้องการเหล็กได้อย่างจำกัด และประกอบกับอุปสรรคในการส่งออกผลิตภัณฑ์เครื่องกลไฟฟ้า ย่อมส่งผลกระทบต่อการบริโภคเหล็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผลิตภัณฑ์เหล็กทรงแบน (flat steel)

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การบริโภคเหล็กของจีนแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง โดยความต้องการเหล็กก่อสร้างลดลงอย่างต่อเนื่อง และมีการเพิ่มขึ้นของวัสดุในภาคอุตสาหกรรม การปรับโครงสร้างผลิตภัณฑ์ของบริษัทเหล็กของจีนกำลังเปลี่ยนจากผลิตภัณฑ์ทั่วไปเป็นผลิตภัณฑ์คุณภาพสูง และจากผลิตภัณฑ์ทรงยาวเป็นผลิตภัณฑ์ทรงแบน

บทสรุป: การขึ้น "reciprocal tariff"" ของสหรัฐฯ ถือเป็นความเสี่ยงเชิงระบบ และผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจโลกนั้นยากที่จะประเมิน

ในระยะสั้น ความรู้สึกต่อความเสี่ยงในตลาดที่สูงขึ้นอาจส่งผลให้ตลาดทุนและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ลดลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อราคาเหล็กในตลาดโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้ว่าผลกระทบนี้อาจไม่ยาวนานนักก็ตาม

ในระยะกลางถึงระยะยาว สงครามภาษีระดับโลก จะเพิ่มแรงกดดันต่ออุตสาหกรรมเหล็กของจีนจากอุปทานที่เกินอุปสงค์ ราคาเหล็กมีแนวโน้มลดลงอย่างมาก และผู้ประกอบการเหล็กต้องเตรียมพร้อมที่จะเผชิญกับความท้าทายที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม


แหล่งที่มา : Steelhome

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

The information in the above report, publication and website has been obtained from sources believed to be reliable. However, Iron & Steel Institute of Thailand does not guarantee the accuracy, adequacy or completeness of the information. Any opinions or forecasts regarding future events may differ from actual events or results. In addition, Iron & Steel Institute of Thailand reserves the right to make changes and corrections to the information, including any opinions or forecasts, at any time without notice.