ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เดินทางเยือนตะวันออกกลาง สร้างแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ต่อเวทีเศรษฐกิจโลก ด้วยการประกาศข้อตกลงการลงทุนกับ 3 ประเทศพันธมิตรหลักในภูมิภาค ได้แก่ ซาอุดีอาระเบีย กาตาร์ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) รวมมูลค่ามากกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ข้อตกลงครอบคลุมหลากหลายอุตสาหกรรม ตั้งแต่ การป้องกันประเทศ การบินพาณิชย์ เทคโนโลยีล้ำยุค ไปจนถึง โครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน
สำหรับข้อตกลงเหล่านี้ นอกจากจะสะท้อนความแข็งแกร่งของสายสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างสหรัฐฯ กับตะวันออกกลางแล้ว ยังตอกย้ำยุทธศาสตร์ของทรัมป์ในการใช้เศรษฐกิจเป็นเครื่องมือสำคัญทางการทูต
ซาอุดีอาระเบีย
ซาอุดีอาระเบียประกาศลงทุนรวม 600,000 ล้านดอลลาร์กับสหรัฐฯ โดยในจำนวนนี้รวมถึงข้อตกลงซื้ออาวุธมูลค่า 142,000 ล้านดอลลาร์ จากบริษัทกลาโหมสหรัฐฯ มากกว่าหนึ่งโหล และการลงทุนอีกกว่า 80,000 ล้านดอลลาร์ในเทคโนโลยีจาก Google, Oracle, Salesforce, AMD และ Uber
นอกจากนี้ ซาอุฯ ยังร่วมกับบริษัท DataVolt และ Nvidia เปิดตัวบริษัทแห่งชาติด้าน AI ชื่อว่า “Humain” ซึ่งได้รับการสนับสนุนโดยตรงจาก มกุฎราชกุมารโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน
กาตาร์
กาตาร์ลงนามข้อตกลงการลงทุนกับสหรัฐฯ มูลค่า 243,500 ล้านดอลลาร์ และตั้งเป้าขยายเป็น 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ในอนาคต โดดเด่นที่สุดคือการที่ Qatar Airways สั่งซื้อเครื่องบิน Boeing จำนวน 210 ลำ มูลค่ารวม 96,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งกลายเป็นดีลการค้าภาคการบินที่ใหญ่ที่สุดในการเดินทางครั้งนี้ของทรัมป์
นอกจากนี้ กาตาร์ยังตกลงลงทุน 10,000 ล้านดอลลาร์ในฐานทัพทหารของสหรัฐฯ และซื้ออาวุธอีก 42,000 ล้านดอลลาร์
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
UAE ประกาศข้อตกลงมูลค่า 200,000 ล้านดอลลาร์ โดยเน้นการลงทุนในภาคการบิน อุตสาหกรรมอะลูมิเนียม และการก่อสร้างศูนย์ข้อมูลปัญญาประดิษฐ์ (AI Data Center) ที่ใหญ่ที่สุดนอกสหรัฐฯ
โครงการดังกล่าวจะตั้งอยู่ในกรุงอาบูดาบี ครอบคลุมพื้นที่ 10 ตารางไมล์ มีกำลังไฟฟ้า 5 กิกะวัตต์ ดำเนินการโดยบริษัท G42 ของเอมิเรตส์ โดยได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ
นอกจากนี้ Etihad Airways ยังได้สั่งซื้อเครื่องบิน Boeing มูลค่า 14,500 ล้านดอลลาร์ ส่วน Emirates Global Aluminum จะลงทุนอีก 4,000 ล้านดอลลาร์ในโรงงานหลอมอะลูมิเนียมในรัฐโอคลาโฮมา