‘ไทย’ ลุ้นสหรัฐหั่นภาษีตอบโต้ ‘รัฐ - เอกชน’ มั่นใจตอบรับ 5 ข้อเสนอ

11 มิถุนายน 2568
‘ไทย’ ลุ้นสหรัฐหั่นภาษีตอบโต้ ‘รัฐ - เอกชน’ มั่นใจตอบรับ 5 ข้อเสนอ
  • ไทยตั้งทีมเจรจาทางเทคนิคกับสหรัฐ
  • โต๊ะเจรจาสหรัฐ -ไทย อยู่ในกรอบข้อเสนอ 5 ข้อสหรัฐ
  • หอการค้าไทย ชี้สัญญาณดีสหรัฐตอบเจรจา มั่นใจไทยได้ลดภาษี
  • นายกฯ มอบนโยบายทูต

การเจรจาอัตราภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ซึ่งสหรัฐประกาศอัตราสำหรับไทย 36% มีความชัดเจนมากขึ้นหลังสหรัฐตอบรับเปิดเจรจา โดย นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ตอบรับเดินทางไปเจรจาที่สหรัฐ ซึ่งจะเป็นการเจรจาระดับสูงอย่างเป็นทางการ หลังจากที่ก่อนหน้านี้มีการหารือระดับคณะทำงานจนตลอด 

สำหรับข้อเสนอของไทยครอบคลุม 5 ประเด็น ซึ่งนายสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีกระทรวงการคลังสหรัฐ เคยระบุเป็นข้อเสนอที่ดี โดยครอบคลุมมาตรการกีดกันที่ไม่ใช่ภาษี การนำเข้าสินค้าเพิ่มจากสหรัฐ การแก้ปัญหาสินค้าที่มีการสวมสิทธิถิ่นกำเนิดสินค้า ซึ่งมีเป้าหมายสร้างสมดุลการค้าระหว่างไทย และสหรัฐภายใน 10 ปี ซึ่งในภาย 5 ปี จะลดการขาดดุลการค้าสหรัฐลงเหลือ 50%

ทั้งนี้ สหรัฐขึ้นภาษีตอบโต้ไทยอยู่ที่ 36% ติดอันดับ 20 จาก 185 เศรษฐกิจประเทศคู่ค้าทั่วโลก และเป็นอันดับ 9 ของเอเชีย รองจากประเทศกลุ่ม CLMV ศรีลังกา อิรัก และบังกลาเทศ

รายงานข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ภายหลังที่กระทรวงพาณิชย์ได้รับหนังสือตอบรับอย่างเป็นทางการจากสหรัฐในการเจรจาภาษีตอบโต้ของสหรัฐเมื่อ 3 วันที่ผ่านมา ขั้นตอนหลังจากนี้จะแต่งตั้งเจ้าหน้าที่เจรจาด้านเทคนิคที่เป็นเจ้าหน้าที่ระดับอาวุโสเพื่อเจรจาผู้แทนการค้าสหรัฐ (ยูเอสทีอาร์) กระทรวงพาณิชย์สหรัฐ

ส่วนประเด็นการเดินทางไปสหรัฐของคณะเจรจาที่มีรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งมีแผนไปเจรจาที่สหรัฐ แหล่งข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ระยะเวลาที่เหลือเพียง 1 เดือน จึงกังวลว่าอาจไม่ทันเวลาที่สหรัฐกำหนดภายใน 90 วัน ซึ่งจะครบกำหนดวันที่ 8 ก.ค.2568 จึงใช้วิธีเจรจาผ่านระบบออนไลน์แทน

“พาณิชย์” มั่นใจ 5 ข้อเสนอไทย

สำหรับประเด็นที่ไทยเตรียมไว้สำหรับเจรจาสหรัฐยังคงเป็นไปตามกรอบเดิม 5 ประเด็น โดยมีเป้าหมายลดการเกินดุลกับสหรัฐให้ได้ 50% ภายใน 5 ปี และส่งเสริมความร่วมมือเป็นพันธมิตรระดับยุทธศาสตร์มากขึ้นในอนาคต ได้แก่

1.เสริมความร่วมมือธุรกิจอาหารแปรรูปไทย และสหรัฐ มุ่งพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารแปรรูปด้วยการใช้จุดแข็ง 2 ประเทศร่วมกัน โดยเฉพาะการนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐเพื่อเป็นวัตถุดิบแปรรูป และส่งออกไปตลาดโลก และหารือร่วมภาคเกษตรของสหรัฐที่เป็นฐานเสียงสำคัญทางการเมืองของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์

2.เพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐ โดยไทยมีแผนเพิ่มการนำเข้าสินค้าจำเป็น อาทิ พลังงาน (น้ำมันดิบ, LNG, อีเทน), เครื่องบิน และชิ้นส่วน, อาวุธยุทโธปกรณ์ และผลิตภัณฑ์เกษตรอย่างข้าวโพด ถั่วเหลือง และเนื้อวัว เพื่อกระชับความสัมพันธ์เชิงพาณิชย์ และตอบสนองความต้องการของเศรษฐกิจในประเทศ

3.เปิดตลาด และลดอุปสรรคทางการค้า การลดภาษีนำเข้าภายใต้ระบบ MFN จำนวน 11,000 รายการ ลง 14% รวมถึงการลดอุปสรรคที่ไม่ใช่ภาษี (NTBs) เป็นหนึ่งในเป้าหมายสำคัญของความร่วมมือ อีกทั้งลดโควตา และข้อจำกัดพร้อมเปิดตลาดให้สินค้าสหรัฐ เช่น เชอร์รี แอปเปิ้ล ข้าวสาลี ข้าวโพด และผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์

4.บังคับใช้กฎหมายถิ่นกำเนิดสินค้าเคร่งครัดผ่านการบังคับใช้กฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้า เพื่อแก้ปัญหาการสวมสิทธิสินค้า “Made in Thailand” โดยสินค้าจากประเทศที่ 3 ส่งออกผ่านไทยไปสหรัฐ ซึ่งจะเพิ่มการเฝ้าระวังเพื่อรักษาภาพลักษณ์สินค้าไทยในตลาดสหรัฐ

5.ส่งเสริมการลงทุนไทยในสหรัฐ ภาครัฐสนับสนุนการขยายการลงทุนของเอกชนไทยในสหรัฐ ภายใน 4 ปีข้างหน้า โดยเฉพาะกลุ่มพลังงาน เช่น โครงการลงทุน LNG ในรัฐอลาสก้า และการลงทุนฟาร์มเกษตรขนาดใหญ่ ปัจจุบันเอกชนไทยลงทุนในสหรัฐ 70 แห่ง ใน 20 มลรัฐ สร้างงานมากกว่า 16,000 ตำแหน่ง มูลค่าการลงทุน 16,000 ล้านดอลลาร์

ทั้งนี้ ทีมเจรจาทางเทคนิคจะดำเนินการเจรจาโดยเร็วที่สุด เพื่อให้ทันก่อนเดดไลน์ 8 ก.ค.2568 ที่สหรัฐฯจะบังคับใช้ภาษีตอบโต้ 36 %

“หอการค้า” มั่นใจเรตภาษีต่ำลง

นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานสภาหอการค้าไทย กล่าวว่า การตอบรับการเจรจาของสหรัฐถือเป็นสัญญาณที่ดี โดยภาคเอกชนยินดีสนับสนุนข้อมูล และเห็นว่าข้อเสนอของไทยทั้ง 5 ข้อ ครอบคลุมประเด็นเจรจาการลดภาษีทั้งหมดแล้ว

ส่วนจะให้เอกชนเข้าร่วมด้วยหรือไม่เห็นว่าไม่จำเป็น เพราะทีมเจรจารู้รายละเอียดทั้งหมดแล้ว และหวังว่าการเจรจาจะได้รับผลน่าพอใจ โดยหากการเจรจาจบได้ภายในสัปดาห์นี้สัปดาห์หน้าจะเป็นผลดี เพราะการส่งออกชะลอเนื่องจากหากลงเรือจากไทยวันนี้อาจต้องใช้เวลา 30 วัน ไปถึงสหรัฐไม่ทันตามกำหนดผ่อนผันภาษี แต่หากเจรจาจบเร็วจะส่งผลดีทั้ง 2 ประเทศ

“การเจรจาอยู่ในกรอบ 5 ข้อ เพราะข้อเสนอของไทยสร้างความสมดุลทางการค้าของทั้ง 2 ฝ่ายและสอดคล้องกับกฎระเบียบโลก”

ทั้งนี้ปี 2567 สหรัฐเป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของไทย คิดเป็นสัดส่วน 18.3% โดยไทยมีมูลค่าการค้ารวมกับสหรัฐ 74,484 ล้านดอลลาร์ ไทยส่งออกไปสหรัฐ มูลค่า 54,956 ล้านดอลลาร์ และนำเข้า 19,528 ล้านดอลลาร์ เกินดุลการค้ากว่า 35,427 ล้านดอลลาร์

นายกฯ ให้การบ้านทูตไทย

เมื่อวันที่ 9 มิ.ย.68 นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวมอบนโยบายบันทึกวีดิทัศน์ในพิธีเปิดการประชุมเอกอัครราชทูต และกงสุลใหญ่ทั่วโลก ประจําปี 2568 ภายใต้หัวข้อ “การทูตเชิงรุกที่ตอบโจทย์ประชาชน : จากนโยบายสู่การปฏิบัติ” 

สำหรับการประชุมเอกอัครราชทูต และกงสุลใหญ่ทั่วโลกระหว่างวันที่ 8-14 มิ.ย.2568 ที่กรุงเทพฯ มีเอกอัครราชทูต กงสุลใหญ่อุปทูต และรักษาการกงสุลใหญ่เข้าร่วม 100 คน จากสถานเอกอัครราชทูต 64 แห่ง สถานกงสุลใหญ่ 29 แห่ง คณะผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การระหว่างประเทศ 4 แห่ง และสำนักงานการค้าและเศรษฐกิจไทย 1 แห่ง

นายกฯ ระบุว่า โลกกำลังเผชิญจุดเปลี่ยนสำคัญสู่โครงสร้างโลกแบบหลายขั้วอำนาจ (Multipolar world) ขอให้ร่วมกันกำหนดให้ไทยวางยุทธศาสตร์เพื่อให้ไทย และประชาชนได้ประโยชน์สูงสุด โดยกำชับว่าภายใต้บริบทปัจจุบันไทยต้องเน้น 2 เรื่อง 

1.การเสริมสร้าง และต่อยอดจุดแข็งของประเทศ 2.แสวงหา และช่วงชิงโอกาสใหม่ภายใต้ความท้าทายได้อย่างฉับไว และทันท่วงที 

สั่งทูตหาโอกาสจากสงครามการค้า

“สงครามการค้า สงครามเทคโนโลยี และการแบ่งแยกห่วงโซ่อุปทานยังเต็มไปด้วยโอกาสสำหรับไทย รัฐบาลให้ความสำคัญกับการทูตเศรษฐกิจเชิงรุก โดยเฉพาะการเร่งทำเอฟทีเอเพื่อรักษาโอกาสขับเคลื่อนเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจภาคการส่งออกโดยเฉพาะสินค้าเกษตรและอาหาร และภาคบริการโดยเฉพาะการท่องเที่ยว” 

รวมทั้งใช้โอกาสนี้สตาร์ทเครื่องยนต์เศรษฐกิจใหม่ผ่านการดึงการลงทุนในซัพพลายเชนอุตสาหกรรมเป้าหมาย และอุตสาหกรรมแห่งอนาคต เช่น เซมิคอนดักเตอร์ แบตเตอรี่รถไฟฟ้า ยานยนต์แห่งอนาคต อิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง ดิจิทัลและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เอไอ เคมี ชีวภาพ 

“ขอให้กำหนดแนวทางและกลยุทธ์ในการขับเคลื่อนการต่างประเทศตามนโยบายรัฐบาลเพื่อให้ไทยยังเป็น relevant player ในประชาคมโลก” 

นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวเสริมว่า โลกเปลี่ยนโครงสร้างเป็นแบบหลากหลายขั้วมีสหรัฐ-จีนเป็นมหาอำนาจหลัก แต่ประเทศอื่นๆ ก็มีความสำคัญมากขึ้นไทยจำต้องคำนึงถึงทุกภูมิภาค ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในอนาคตจะขับเคลื่อนด้วยผลประโยชน์มากกว่าหลักเกณฑ์หรือกติกาเดิม ตอนนี้ผู้เล่นไม่ได้มีแต่นักการทูต แต่ยังมีภาคเอกชนและประชาชน

 


แหล่งที่มา : กรุงเทพธุรกิจ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

The information in the above report, publication and website has been obtained from sources believed to be reliable. However, Iron & Steel Institute of Thailand does not guarantee the accuracy, adequacy or completeness of the information. Any opinions or forecasts regarding future events may differ from actual events or results. In addition, Iron & Steel Institute of Thailand reserves the right to make changes and corrections to the information, including any opinions or forecasts, at any time without notice.