ภาคอุตสาหกรรมไทยกำลังเผชิญปัจจัยท้าทายกับคลื่นความท้าทายที่บั่นทอนขีดความสามารถการแข่งขัน และบ่อนเซาะรากฐานเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะจากปัญหา “ทุนศูนย์เหรียญ” ที่เข้ามาดำเนินธุรกิจโดยไม่สร้างมูลค่าเพิ่มให้เศรษฐกิจในประเทศเท่าที่ควร ควบคู่ไปกับการไหลทะลักของสินค้านำเข้าที่มาทุ่มตลาดอย่างไม่เป็นธรรม
นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยถึงสถานการณ์ภาคการผลิตอุตสาหกรรมไทยที่น่าเป็นห่วงกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า แม้มูลค่าการส่งออกไทยจะเติบโตดีแต่ไม่ได้สะท้อนกำลังการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่อยู่ระดับต่ำ และทำให้ GDP อุตสาหกรรมและ GDP รวมไม่เติบโตตามที่ควรจะเป็น
สำหรับ "อุตสาหกรรมศูนย์เหรียญ" และ "อุตสาหกรรมเถื่อนที่ไม่ได้มาตรฐาน” เป็นการผลิตที่เพิ่มขึ้นแต่ไม่สร้างประโยชน์ให้กับประเทศกำลังบ่อนเซาะทำลายรากฐานเศรษฐกิจของประเทศจึงทำให้กระทรวงอุตสาหกรรมเข้าไปจัดการ
“โรงงานศูนย์เหรียญ” เป็นการผลิตในอุตสาหกรรมที่คนไทยผลิตได้แต่ไม่เกิดการผลิต โดยมีต้นเหตุมาจากนักลงทุน และการสนับสนุนของภาครัฐในอดีต ซึ่งมีตัวอย่างชัดเจนในอุตสาหกรรมเหล็กในปี 2558-2559 กระทรวงอุตสาหกรรมอนุญาตให้ลงทุนโรงงานเหล็กที่ใช้เทคโนโลยีเตาหลอมแบบ Induction Furnace (IF) ที่ผู้ผลิตเหล็กจีนขยายเข้ามาตั้งโรงงานในอาเซียน
ทั้งนี้ มีการอ้างเทคโนโลยีใหม่แต่ในทางปฏิบัติมีมาตรฐานต่ำกว่า และสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่าเตาหลอมเหล็กแบบ Electric arc furnace (EF) ที่มีอยู่แล้วในไทย และจากผลการตรวจสอบบริษัทเหล็กที่ใช้เตา IF กว่า 11 บริษัทพบว่าตกคุณภาพหมด ซึ่งส่งผลต่อคุณภาพสินค้ามาตรฐานความปลอดภัย และบิดเบือนโครงสร้างการแข่งขันในตลาด เพราะมีต้นทุนการผลิตถูกกว่า
“เหล็กเหล่านี้มีต้นทุนต่ำกว่า ทำให้ธุรกิจไทยเสียส่วนแบ่งการตลาดไป 50-60% อย่างกรณี ซินเคอหยวน ถูกสั่งปิดไปแล้วมีมูลค่าตลาดกว่าหมื่นล้านบาทต่อปี”
นอกจากนี้ ยังลามไปถึงอุตสาหกรรมอื่น เช่น ยาง สายไฟและผลิตภัณฑ์พลาสติก โดยลักลอบนำเข้าวัตถุดิบ เช่น ขยะพลาสติกที่แจ้งพิกัดเป็นเศษเหล็กเพื่อนำมาแปรรูป และขายแข่งกับธุรกิจไทย โดยไม่เสียภาษีสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจหมื่นล้านบาทต่อปี
รูปแบบการทำธุรกิจดังกล่าวจะสร้างซัพพลายเชนของตัวเอง ซึ่งทำให้โรงงานเหล็กดังกล่าวใช้วัตถุดิบจากจีนเกือบทั้งหมด และจ้างแรงงานไทยเพียง 10% ของการจ้างงานรวม ซึ่งพบมาในการตั้งโรงงานผลิตเหล็กเส้นที่หาช่องทางผ่านการรับรองมาตรฐานต่างๆ เพื่อให้ตั้งโรงงาน และจำหน่ายสินค้าได้
ทั้งนี้ เมื่อเข้าไปตรวจสอบพบข้อบกพร่อง เช่น การปรับโกดังเป็นโรงงานแต่ไม่มีใบอนุญาตโรงงาน (รง.4) รวมถึงการได้ใบอนุญาตบางรายการที่มีปัญหา เช่น การที่โรงงานได้รับใบรับรองมาตรฐานอุตสาหกรรม (มอก.) แต่เป็นโรงงานยังไม่มี รง.4
ดังนั้น จึงเห็นว่าปัญหาที่เกิดขึ้นจาก “ทุนจีนสีเทา” เพราะได้รับการสนับสนุนจาก “ทุนไทยสีเทา” และระบบราชการ ซึ่งปัญหาดังกล่าวพบมากในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) รวมถึงสมุทรสาคร และปราจีนบุรีที่มีโรงงานมากแต่เป็นโรงงานเถื่อนไม่น้อย
สำหรับการแก้ปัญหาดังกล่าว กระทรวงอุตสาหกรรมใช้เครื่องมือที่มีอยู่ และสร้างเครื่องมือใหม่ขึ้นมากำกับดูแลภาคการผลิต แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ
1.เครื่องมือในการกำกับคุณภาพสินค้า โดยอยู่ระหว่างปรับแผนมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) ด้วยการแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (กมอ.) ขึ้นมาใหม่ และเร่งรัดให้ประชุมทุก 2 สัปดาห์ พร้อมทบทวนและยกเลิก มอก.ที่ไม่เหมาะสม เช่น มอก.การผลิตเหล็กเตา IF และแก้ไขกระบวนการชักตัวอย่างเหล็กเพื่อทดสอบตามมาตรฐาน มอก.
ทั้งนี้ สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) จะเร่งออกมาตรฐานใหม่สำหรับสินค้าที่ยังไม่มีมาตรฐานควบคุม เช่น เหล็กโครงสร้างสำเร็จรูป ซึ่งปัจจุบันมีการนำเข้าเหล็กกลุ่มนี้เพื่อเลี่ยง มอก.แบบบังคับ โดยเมื่อนำสินค้าหลายชิ้นมาประกอบกันทำให้มีการอ้างเป็นสินค้าใหม่ที่ยังไม่มี มอก.ควบคุม
รวมทั้ง จะมีการออก มอก.ใหม่ครอบคลุมสินค้าสายไฟและเม็ดพลาสติก PP ที่มีสินค้าจีนไหลทะลักเข้าไทยจำนวนมาก
นอกจากนี้ จะปรับปรุง พ.ร.บ.มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เพื่อแก้ปัญหาช่องว่างการบังคับใช้กฎหมาย เช่น ข้อกำหนดการควบคุมมาตรฐานสินค้าที่กำหนดให้ สมอ.ต้องออกหนังสือเตือนถึง 7 ครั้ง จึงจะเพิกถอนใบอนุญาต มอก.ได้ ซึ่งช่องว่างดังกล่าวทำให้ผู้ผลิต และผู้จำหน่ายไม่กังวลการเพิกถอนใบอนุญาตเมื่อทำผิด
2. เครื่องมือในการกำกับดูแลด้านสิ่งแวดล้อม โดยใช้อำนาจตามกฎหมายที่มีอยู่ เช่น พ.ร.บ.วัตถุอันตราย ซึ่งเตรียมออกกฎกระทรวงอุตสาหกรรมเพื่อระงับการอนุญาตโรงงาน 2 ประเภท เพื่อป้องกันการลักลอบนำเข้าของเสียอุตสาหกรรม คือ
โรงงานประเภท 105 ประกอบกิจการเกี่ยวกับการคัดแยกหรือฝังกลบสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว
โรงงานประเภท 106 ประกอบกิจการเกี่ยวกับการนำผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมที่ไม่ใช้แล้วหรือของเสียจากโรงงานมาผลิตเป็นวัตถุดิบหรือผลิตภัณฑ์ใหม่โดยผ่านกรรมวิธีการผลิตทางอุตสาหกรรม
นอกจากนี้ เร่งผลักดัน พ.ร.บ.จัดการกากอุตสาหกรรม ขณะนี้ผ่านการเปิดรับฟังความคิดเห็นสาธารณะเรียบร้อยแล้ว เพื่อให้เป็นกฎหมายประวัติศาสตร์ฉบับแรกของไทย ซึ่งจะปิดบ้านจัดการธุรกิจสีเทาออกจากระบบ มุ่งสู่ Circular Economy หรือเศรษฐกิจหมุนเวียน สร้างมูลค่าจากของเสีย และของใช้แล้ว
"จะจัดการให้โรงงานศูนย์เหรียญหมดไป ผมไม่หยุดจนกว่าจะสุดซอย โดยจะจัดการกับทุนเทาที่ทำผิดกฎหมายไทยอย่างเด็ดขาด เพราะถ้าทุนเทาทุนดำเกิด ทุนดีทุนขาวก็เกิดไม่ได้”
ทั้งนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมมีฟังก์ชันที่กระจัดกระจายจึงต้องทำงานร่วมกับหน่วยงานอื่น เช่น กระทรวงการคลัง, สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) เพื่อผนึกกำลังพัฒนาอุตสาหกรรมให้แข็งแกร่ง โดยจะทำงานร่วมกับกระทรวงอื่น และนำเสนอนายกรัฐมนตรีรับทราบอย่างสม่ำเสมอ
“แผนปฏิรูปนี้จะรวมถึงการทบทวนกฎหมายว่าด้วยทุนต่างด้าวในภาคการผลิตตั้งแต่ต้นน้ำ เพื่อล็อกต้นน้ำ และปลายน้ำของห่วงโซ่อุปทาน สนับสนุน Local Content ในภาคการผลิตของไทย เพื่อให้ GDP และดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) ดีขึ้นอย่างแท้จริง”
นายเอกนัฏ กล่าวว่า สิ่งที่หลายคนไม่เห็นคือ ระบบหลังบ้านที่ต้องจัดการเหล่านี้เยอะมาก ตนได้ปรับแต่ง และจัดระบบออกกฎหมายใหม่ทุกตัวของกระทรวงอุตฯ ซึ่งกำลังจะออกใหม่ทั้งหมด ขณะนี้มีทั้งที่ประกาศออกมาใช้ใหม่กับอยู่ระหว่างเตรียมนำเสนอเข้าคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยรวมอยู่ประมาณ 60-70%
“ผมแข่งกับเวลา ต้องทำให้สำเร็จ เพราะการแข่งขันสูงขึ้นเรื่อยๆ ด้วยความมุ่งมั่นว่านี่คือ โอกาสสำคัญที่จะพลิกฟื้นระบบอุตสาหกรรมไทยให้ไปได้จริง ไม่ใช่สวยแต่รูปจูบไม่หอม ดังนั้น หากทุกฝ่ายร่วมมือกันต้องสำเร็จแน่นอน ซึ่งเห็นแสงสว่างในปลายอุโมงค์แล้ว”
นายเอกนัฏ กล่าวว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ให้สัญญาณชัดเจนในการเอาจริงเอาจังกับการจัดการสินค้าไหลทะลักราคาถูกจากต่างประเทศ ทั้งการดั๊มพ์ตลาด และการลักลอบนำเข้าผ่านระบบออนไลน์ โดยกระทรวงอุตสาหกรรม จะเร่งออกมาตรฐานบังคับเพื่อให้สินค้าที่เข้ามาแข่งขันบนมาตรฐานเดียวกันกับสินค้าไทย
นอกจากนี้ ไทยจะต้องร่วมมือกับประเทศในภูมิภาคอาเซียนเพื่อรักษาคุณภาพ และมาตรฐานสินค้า โดยจะตีกลับสินค้าโอเวอร์ซัพพลายที่ถูกผลักภาระเข้ามาในตลาด และสร้างความเป็นธรรมในการค้า และมั่นใจว่าหากออกมาตรฐานตามแผนได้ภายในไม่กี่เดือนนี้ จะทำให้การแข่งขันเป็นธรรม และสามารถยันให้ของที่ดั๊มพ์มาตลาดเรากลับไปลดซัพพลายในบ้านเขาได้
“สำหรับอนาคตไทยต้องอัปเกรดภาคอุตสาหกรรมผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ รักษาชื่อแบรนด์ Made in Thailand ให้เป็นที่ต้องการของโลก ด้วยกระบวนการผลิตที่ยั่งยืน เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเศรษฐกิจของประเทศ”