เจาะลึกอนาคตเศรษฐกิจอาเซียนพบ 10 ปีข้างหน้า GDP ไทยโตต่ำแค่ 2.8% ต่อปี

02 สิงหาคม 2567
เจาะลึกอนาคตเศรษฐกิจอาเซียนพบ 10 ปีข้างหน้า GDP ไทยโตต่ำแค่ 2.8% ต่อปี
  • รายงาน Navigating High Winds: Southeast Asia Outlook 2024-2034 ของ กลุ่ม Angsana Council Bain & Company และธนาคาร DBS ของสิงคโปร์ วิเคราะห์ 6 ประเทศเศรษฐกิจหลักอาเซียน อีก 10 ปีข้างหน้าโตเฉลี่ย 5.1%ต่อปี
  • เวียดนาม อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตสูงที่สุด 5.7% - 6.6% ต่อปี ส่วนไทย คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตต่ำแค่ 2.8%ต่อปี
  • ปัจจัยสำคัญที่จะขับเคลื่อนการเติบโต ได้แก่ การลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ การส่งเสริมธุรกิจเทคโนโลยี การพัฒนาตลาดทุน การเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด และการร่วมมือในระดับภูมิภาค แต่ยังมีความท้าทายสำคัญ ได้แก่ การแข่งขันกับจีน

กลุ่ม Angsana Council บริษัทเบน แอนด์ คัมพานี (Bain & Company) และธนาคาร DBS ของสิงคโปร์ เผยแพร่เอกสาร “Navigating High Winds: Southeast Asia Outlook 2024-2034” ของ 6 ประเทศเศรษฐกิจหลักของอาเซียนใน 10 ปีข้างหน้า(2567-2577)จะขยายตัวเฉลี่ย 5.1% ต่อปี โดยเวียดนาม อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์จะมีการเติบโตสูงสุด ขณะที่ไทยจะมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจเฉลี่ยแค่ 2.8%ต่อปี

รายงานชี้ว่าปัจจัยสำคัญที่จะขับเคลื่อนการเติบโต ได้แก่ การลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ การส่งเสริมธุรกิจเทคโนโลยี การพัฒนาตลาดทุน การเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด และการร่วมมือในระดับภูมิภาค

แต่ยังมีความท้าทายสำคัญ ได้แก่ การแข่งขันกับจีน ที่จะมีบทบาทสำคัญมากขึ้นในฐานะคู่ค้าและนักลงทุนรายใหญ่ในภูมิภาคนี้ ขณะที่ความไม่แน่นอนทางการเมืองในบางประเทศ และความจำเป็นในการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานและทรัพยากรมนุษย์

รายงานระบุว่า โอกาสสำคัญของ 6 ประเทศเศรษฐกิจหลักในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ การดึงดูดการลงทุนจากบริษัทต่างชาติที่ต้องการย้ายฐานการผลิตออกจากจีน การพัฒนาอุตสาหกรรมใหม่เช่นยานยนต์ไฟฟ้า และการเป็นศูนย์กลางด้านเทคโนโลยีในภูมิภาค ซึ่งโดยรวมรายงานมองว่าเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีศักยภาพในการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง แต่จำเป็นต้องมีการปฏิรูปนโยบายและการลงทุนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการเติบโตดังกล่าว

สำหรับการคาดการณ์การขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (Gross Domestic Product-GDP) ระยะ 10 ปี ในช่วงปี 2567-2577 ของ 6 ประเทศเศรษฐกิจหลักของอาเซียนมี ดังนี้

  • วียดนาม ขยายตัว 6.6% ต่อปี
  • ฟิลิปปินส์ ขยายตัว 6.1% ต่อปี
  • อินโดนีเซีย ขยายตัว 5.7 % ต่อปี
  • มาเลเซีย ขยายตัว 4.5% ต่อปี
  • ไทย ขยายตัว 2.8% ต่อปี
  • สิงคโปร์ ขยายตัว 2.5% ต่อปี

การเติบโตทางเศรษฐกิจของเวียดนามในช่วง 2567-2577

1. อัตราการเติบโต: คาดว่าเวียดนามจะมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเฉลี่ยประมาณ 6.6% ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราที่สูงที่สุดในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่วิเคราะห์ในรายงานนี้

2. ปัจจัยบวก:

เศรษฐกิจที่มุ่งเน้นการส่งออก ซึ่งอยู่ในตำแหน่งที่ดีในการรับประโยชน์จากกลยุทธ์ "China + 1" ของบริษัทต่างชาติ

  • แหล่งการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่หลากหลาย
  • การแข่งขันระหว่างจังหวัดที่มีประสิทธิผล
  • คุณภาพแรงงานและระดับการศึกษาที่สูง

3. ความท้าทาย:

  • ผลกระทบจากการรณรงค์ต่อต้านการทุจริต
  • การชะลอตัวตามวัฏจักรเศรษฐกิจและความอ่อนแอด้านสินเชื่อ
  • การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ล่าช้ากว่าที่คาดการณ์
  • การขาดแคลนพลังงานและน้ำ
  • การเคลื่อนไหวช้าในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสีเขียว

4. การลงทุนจากต่างประเทศ: เวียดนามได้รับความสนใจอย่างมากจากนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะในภาคการผลิตและเทคโนโลยี

5. ทรัพยากรมนุษย์: เวียดนามมีคะแนน Human Capital Index ที่สูง และมีอัตราการมีส่วนร่วมในกำลังแรงงานที่สูงที่สุดในภูมิภาค

6. โครงสร้างพื้นฐาน: เวียดนามมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานสาธารณะประมาณ 5% ของ GDP

7. การพัฒนาทางเทคโนโลยี: เวียดนามกำลังพัฒนาอย่างรวดเร็วในด้านเทคโนโลยี โดยมีการลงทุนในการวิจัยและพัฒนาจากบริษัทต่างชาติ

8. ความท้าทายทางการเมือง: พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามต้องสร้างสมดุลระหว่างการเปิดเสรีทางเศรษฐกิจกับการบริหารจัดการทางการเมือง

โดยสรุป เวียดนามมีแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งที่สุดในภูมิภาค แต่ยังคงมีความท้าทายที่ต้องจัดการ โดยเฉพาะในด้านโครงสร้างพื้นฐานและการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการเมือง

การเติบโตทางเศรษฐกิจของฟิลิปปินส์ในช่วง 2567-2577

1. อัตราการเติบโต: คาดว่าฟิลิปปินส์จะมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเฉลี่ยประมาณ 6.1% ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราที่สูงเป็นอันดับ 2 ในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่วิเคราะห์ในรายงานนี้

2. ปัจจัยบวก:

  • รัฐบาลที่มุ่งเน้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ
  • การให้ความสำคัญกับการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะโครงการพลังงานหมุนเวียนที่ดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ
  • ประชากรและกำลังแรงงานที่กำลังเติบโต

3. ความท้าทาย:

  • ปัจจัยการเติบโตแบบดั้งเดิมยังล้าหลังประเทศอื่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (เช่น การศึกษา โครงสร้างพื้นฐาน ประสิทธิภาพของรัฐบาล)
  • ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะกับจีน อาจส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ
  • ระบบราชการที่เคลื่อนไหวช้า อาจเป็นอุปสรรคต่อการปฏิรูปนโยบายที่จำเป็น

4. การลงทุนจากต่างประเทศ: ฟิลิปปินส์พยายามดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ โดยเฉพาะในภาคบริการและโครงสร้างพื้นฐาน

5. ทรัพยากรมนุษย์:

  • ฟิลิปปินส์มีประชากรวัยแรงงานที่กำลังเติบโต
  • อัตราการมีส่วนร่วมในกำลังแรงงานของผู้หญิงยังต่ำกว่าประเทศอื่นในภูมิภาค
  • มีความท้าทายในการพัฒนาทักษะแรงงานให้ตรงกับความต้องการของตลาด

6. โครงสร้างพื้นฐาน:

  • การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานสาธารณะอยู่ที่ประมาณ 3% ของ GDP ซึ่งยังต่ำกว่าระดับที่ควรจะเป็น
  • มีแผนการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ รวมถึงโครงการพลังงานหมุนเวียน

7. นวัตกรรมและเทคโนโลยี: ฟิลิปปินส์มีการเติบโตในภาคเทคโนโลยี แต่ยังล้าหลังประเทศอื่นในภูมิภาคในด้านนวัตกรรม

8. ภูมิรัฐศาสตร์: ท่าทีที่เป็นมิตรกับสหรัฐฯ อาจส่งผลต่อความสัมพันธ์กับจีน ซึ่งเป็นคู่ค้าที่สำคัญ

9. การเมือง: หลังยุคดูเตอร์เต ฟิลิปปินส์กำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในเชิงบวก โดยมุ่งเน้นสิทธิมนุษยชน นโยบายต่างประเทศ และการปฏิรูปเศรษฐกิจ

โดยสรุป ฟิลิปปินส์มีศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง โดยได้รับแรงหนุนจากประชากรที่กำลังเติบโตและนโยบายที่มุ่งเน้นการเติบโต อย่างไรก็ตาม ประเทศยังต้องเผชิญกับความท้าทายสำคัญในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การยกระดับทักษะแรงงาน และการปรับปรุงประสิทธิภาพของภาครัฐ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการเติบโตที่คาดการณ์ไว้

การเติบโตทางเศรษฐกิจของอินโดนีเซียในช่วง 2567-2577 

1. อัตราการเติบโต: คาดว่าอินโดนีเซียจะมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเฉลี่ยประมาณ 5.7% ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราที่สูงเป็นอันดับ 3 ในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่วิเคราะห์ในรายงานนี้

2. ปัจจัยบวก:

  • ภาคการแปรรูปโลหะ การทำเหมือง และโครงสร้างพื้นฐานที่กำลังเติบโต
  • การเพิ่มการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน
  • เป็นผู้นำในด้านการสร้างนวัตกรรมและการใช้เทคโนโลยีในการทำธุรกิจ
  • ประชากรและแรงงานที่กำลังเติบโต

3. ความท้าทาย:

  • กิจกรรมการผลิตที่มีมูลค่าเพิ่มต่ำ นอกเหนือจากสินค้าโภคภัณฑ์
  • ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ลดลง
  • แนวโน้มที่อาจมีนโยบายประชานิยมมากขึ้น
  • อาจมีแนวโน้มที่จะใช้นโยบายปกป้องตลาดภายในประเทศมากขึ้น

4. การลงทุนจากต่างประเทศ: อินโดนีเซียได้รับความสนใจจากนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะในภาคพลังงานและทรัพยากรธรรมชาติ เช่น การผลิตแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า

5. ทรัพยากรมนุษย์: อินโดนีเซียมีประชากรวัยแรงงานจำนวนมาก แต่ยังมีความท้าทายในการพัฒนาทักษะแรงงาน

6. โครงสร้างพื้นฐาน: อินโดนีเซียมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานสาธารณะประมาณ 3% ของ GDP ซึ่งยังต่ำกว่าระดับที่ควรจะเป็น

7. นวัตกรรมและเทคโนโลยี: อินโดนีเซียมีระบบนิเวศสตาร์ทอัพที่เติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมีจำนวนบริษัทยูนิคอร์นมากที่สุดเป็นอันดับสองในภูมิภาค

8. ตลาดทุน: อินโดนีเซียมีการพัฒนาตลาดทุนอย่างต่อเนื่อง แต่ยังมีโอกาสในการพัฒนาเพิ่มเติม

9. การเมือง: การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองหลังจากการเลือกตั้งในปี 2024 อาจส่งผลต่อทิศทางนโยบายเศรษฐกิจ

โดยสรุป อินโดนีเซียมีศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง โดยได้รับแรงหนุนจากตลาดภายในประเทศขนาดใหญ่ ทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ และการพัฒนาทางเทคโนโลยี อย่างไรก็ตาม ประเทศยังต้องเผชิญกับความท้าทายในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การยกระดับทักษะแรงงาน และการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการเมือง เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการเติบโตที่คาดการณ์ไว้

การเติบโตทางเศรษฐกิจของมาเลเซียในช่วง 2567-2577

1. อัตราการเติบโต: คาดว่ามาเลเซียจะมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเฉลี่ยประมาณ 4.5% ต่อปี

2. ปัจจัยบวก:

  • การเปลี่ยนไปสู่นโยบายที่เน้นการเติบโตเพื่อดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI)
  • ความสำเร็จในอดีตด้านอิเล็กทรอนิกส์ เซมิคอนดักเตอร์ และศูนย์ข้อมูลกำลังส่งผลดี
  • ความเต็มใจในการดำเนินการปฏิรูปโครงสร้าง เช่น การตัดการอุดหนุน
  • โอกาสที่จะได้รับประโยชน์จากความร่วมมือกับสิงคโปร์

3. ความท้าทาย:

  • การเปลี่ยนแปลงพันธมิตรทางการเมือง การเปลี่ยนแปลงนโยบาย และรัฐบาลที่มีอำนาจอ่อนแอ
  • การสูญเสียบุคลากรที่มีความสามารถอย่างช้าๆ แต่ต่อเนื่อง
  • ผลกระทบจากการไม่สามารถปฏิบัติตามข้อผูกพันการลงทุนระยะยาว (เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูง)

4. การลงทุนจากต่างประเทศ:

  • มาเลเซียยังคงดึงดูด FDI โดยเฉพาะในภาคอิเล็กทรอนิกส์และเซมิคอนดักเตอร์
  • มีการลงทุนสำคัญในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่

5. ทรัพยากรมนุษย์:

  • มีคะแนน Human Capital Index ที่ค่อนข้างดีในภูมิภาค
  • แต่ยังมีความท้าทายในการรักษาและพัฒนาบุคลากรที่มีทักษะสูง

6. โครงสร้างพื้นฐาน:

  • การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานสาธารณะอยู่ที่ประมาณ 8% ของ GDP ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่ดี
  • มีโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เช่น ทางหลวง Pan Borneo

7. นวัตกรรมและเทคโนโลยี:

  • มาเลเซียมีความแข็งแกร่งในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์
  • มีการพัฒนาในด้านการผลิตขั้นสูงและเทคโนโลยี

8. การเมือง:

  • ความไม่แน่นอนทางการเมืองและการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลบ่อยครั้งอาจส่งผลต่อความต่อเนื่องของนโยบาย

9. ภูมิภาค:

  • รัฐต่างๆ เช่น ยะโฮร์ ปีนัง และซาราวัก กำลังดำเนินนโยบายที่ทะเยอทะยานโดยใช้ประโยชน์จากข้อได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบของตน

โดยสรุป มาเลเซียมีศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดี โดยได้รับแรงหนุนจากอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงและนโยบายที่เอื้อต่อการลงทุน อย่างไรก็ตาม ประเทศยังต้องเผชิญกับความท้าทายสำคัญ โดยเฉพาะในด้านการเมืองและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันในระยะยาวและบรรลุเป้าหมายการเติบโตที่คาดการณ์ไว้

การเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยในช่วง 2567-2577

1. อัตราการเติบโต: คาดว่าไทยจะมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเฉลี่ยประมาณ 2.8% ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราที่ต่ำที่สุดในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่วิเคราะห์ในรายงานนี้

2. ปัจจัยบวก:

  • การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว
  • เป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมยานยนต์ที่สำคัญในภูมิภาค มีโครงสร้างพื้นฐานที่เชื่อมโยงกันดี
  • บริษัทยักษ์ใหญ่ของไทยมีการขยายธุรกิจในระดับภูมิภาคมากกว่าประเทศอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

3. ความท้าทาย:

  • สภาพแวดล้อมทางการเมืองที่ไม่แน่นอนและซับซ้อน
  • การรวมตัวของธุรกิจในบางภาคส่วนสำคัญ เช่น ค้าปลีกและโทรคมนาคม
  • ความท้าทายด้านประชากรศาสตร์ (เช่น สังคมผู้สูงอายุ)
  • ความอนุรักษ์นิยมของระบบราชการ ซึ่งอาจทำให้การปฏิรูปเป็นไปได้ยาก

4. การลงทุนจากต่างประเทศ:

  • ไทยยังคงดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า
  • มีโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ เช่น โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC)

5. ทรัพยากรมนุษย์:

  • ไทยมีคะแนน Human Capital Index อยู่ในระดับกลางของภูมิภาค
  • ยังมีช่องว่างในการพัฒนาทักษะแรงงานเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ

6. โครงสร้างพื้นฐาน:

  • ไทยมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานสาธารณะประมาณ 5% ของ GDP ซึ่งอยู่ในระดับที่เหมาะสม
  • มีโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เช่น การขยายสนามบินและท่าเรือน้ำลึก

7. นวัตกรรมและเทคโนโลยี:

  • ไทยมีความพยายามในการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและเทคโนโลยีสะอาด
  • แต่ยังมีความท้าทายในการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูง

8. การเมือง:

  • รัฐบาลใหม่หลังการเลือกตั้งปี 2566 กำลังเผชิญกับความท้าทายในการบริหารจัดการผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่หลากหลาย
  • การจัดการกับความเหลื่อมล้ำทางสังคมและเศรษฐกิจเป็นประเด็นสำคัญสำหรับเสถียรภาพในระยะยาว

โดยสรุป แม้ว่าไทยจะมีจุดแข็งในหลายด้าน แต่อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่คาดการณ์ไว้ยังค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาค ซึ่งสะท้อนถึงความท้าทายทั้งในด้านโครงสร้างเศรษฐกิจและการเมืองที่ประเทศต้องเผชิญ การปรับปรุงประสิทธิภาพของภาครัฐ การพัฒนาทักษะแรงงาน และการส่งเสริมนวัตกรรมจะเป็นกุญแจสำคัญในการเพิ่มศักยภาพการเติบโตของประเทศในอนาคต

การเติบโตทางเศรษฐกิจของสิงคโปร์ในช่วง 2567-2577

. อัตราการเติบโต: คาดว่าสิงคโปร์จะมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเฉลี่ยประมาณ 2.5% ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราที่ต่ำที่สุดในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่วิเคราะห์ในรายงานนี้

2. ปัจจัยบวก:

  • เศรษฐกิจเปิดและหลากหลาย มีจุดแข็งในด้านการผลิตขั้นสูง บริการ และการท่องเที่ยว
  • ดึงดูดบุคลากรที่มีความสามารถระดับโลกจากทุกเศรษฐกิจหลัก ด้วยสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและมั่นคง
  • รัฐบาลมีการลงทุนอย่างมากเพื่อส่งเสริมการเติบโต
  • มีความเข้มแข็งในด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี

3. ความท้าทาย:

  • ปัญหาด้านประชากรศาสตร์ การนำเข้าแรงงานต่างชาติเผชิญกับอุปสรรคทางการเมือง
  • ข้อจำกัดด้านที่ดินและแรงงาน
  • ต้นทุนในการดำเนินธุรกิจสูงเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาค
  • การแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจากประเทศเพื่อนบ้านในบางอุตสาหกรรม

4. การลงทุนจากต่างประเทศ: สิงคโปร์ยังคงเป็นจุดหมายปลายทางที่สำคัญสำหรับการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ โดยเฉพาะในภาคการเงินและเทคโนโลยี

5. ทรัพยากรมนุษย์: สิงคโปร์มีคะแนน Human Capital Index สูงที่สุดในภูมิภาค และมีการลงทุนอย่างต่อเนื่องในการพัฒนาทักษะแรงงาน

6. โครงสร้างพื้นฐาน: สิงคโปร์มีโครงสร้างพื้นฐานที่พัฒนาแล้วอย่างมาก และยังคงลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ เช่น ท่าเรือ Tuas Mega Port

7. นวัตกรรมและเทคโนโลยี: สิงคโปร์เป็นผู้นำในด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีในภูมิภาค โดยมีการลงทุนอย่างมากในการวิจัยและพัฒนา

8. ตลาดการเงิน: สิงคโปร์ยังคงเป็นศูนย์กลางทางการเงินที่สำคัญของภูมิภาค แม้ว่าจะมีการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจากประเทศอื่นๆ

โดยสรุป แม้ว่าสิงคโปร์จะมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่คาดการณ์ไว้ต่ำกว่าประเทศอื่นในภูมิภาค แต่ก็ยังคงมีจุดแข็งที่สำคัญในหลายด้าน โดยเฉพาะในด้านนวัตกรรม เทคโนโลยี และการเงิน อย่างไรก็ตาม สิงคโปร์ต้องเผชิญกับความท้าทายสำคัญ โดยเฉพาะในด้านประชากรศาสตร์และการรักษาความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว

ที่มา: Navigating High Winds: Southeast Asia Outlook 2024-2034

 

 

 

 

 


แหล่งที่มา : ฐานเศรษฐกิจ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

The information in the above report, publication and website has been obtained from sources believed to be reliable. However, Iron & Steel Institute of Thailand does not guarantee the accuracy, adequacy or completeness of the information. Any opinions or forecasts regarding future events may differ from actual events or results. In addition, Iron & Steel Institute of Thailand reserves the right to make changes and corrections to the information, including any opinions or forecasts, at any time without notice.