สหรัฐขึ้นภาษีเหล็ก-อะลูมิเนียม 50% ไทยสะเทือนแค่ไหน?

04 มิถุนายน 2568
สหรัฐขึ้นภาษีเหล็ก-อะลูมิเนียม 50% ไทยสะเทือนแค่ไหน?

การประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าเหล็กและอะลูมิเนียมจากทั่วโลกตามมาตรา 232 (ภาษีสินค้าเพื่อความมั่นคงของชาติ) ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ จากเดิมในอัตรา 25% ที่มีผลบังคับใช้แล้วเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2568

ล่าสุด ทรัมป์ประกาศจะขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมเพิ่มขึ้นเป็น 50% ซึ่งจะมีผลตั้งแต่วันที่ 4 มิถุนายนนี้เป็นต้นไป

การปรับขึ้นภาษีครั้งนี้จะสร้างแรงสั่นสะเทือนอีกครั้งในระบบการค้าโลก จุดประสงค์หลัก คือ การปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ และตอบโต้จีนในกรณีถูกกล่าวหาว่าผิดข้อตกลงด้านแร่หายาก รวมถึงการใช้มาตรการทางการค้าเชิงยุทธศาสตร์ในการจัดสมดุลห่วงโซ่อุปทานโลก

แม้เป้าหมายหลักของมาตรการนี้จะพุ่งเป้าไปที่จีนและประเทศที่สหรัฐ พึ่งพาการนำเข้าสูง เช่น แคนาดา เม็กซิโก เกาหลีใต้ แต่ “ประเทศไทย” ซึ่งเป็นผู้ส่งออกเหล็กและอะลูมิเนียมอันดับต้น ๆ ไปยังสหรัฐฯ ก็ไม่อาจมองข้ามผลกระทบที่กำลังจะตามมาได้

  • ไทยอยู่ตรงไหนในแผนที่การค้าเหล็ก-อะลูมิเนียมของสหรัฐ

ในปี 2567 ไทยส่งออก เหล็ก เหล็กกล้า และผลิตภัณฑ์ ไปยังสหรัฐ มูลค่า 1,205.23 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 40,000 ล้านบาท อยู่ในลำดับที่ 11 ของสินค้าส่งออกทั้งหมดจากไทยไปยังสหรัฐ

ภายในหมวดนี้มีทั้งเหล็กแผ่นรีดร้อน เหล็กรีดเย็น ท่อเหล็ก และโครงสร้างเหล็กสำเร็จรูป โดยเฉพาะกลุ่มผลิตภัณฑ์เหล็ก เช่น ท่อเหล็กและโครงสร้างเหล็ก ถือเป็นหมวดย่อยที่สหรัฐฯ นำเข้าจากไทยในสัดส่วนสูง คิดเป็น 23% ของการส่งออกหมวดผลิตภัณฑ์เหล็กของไทยทั้งหมด

ส่วนด้านอะลูมิเนียม ไทยเป็นประเทศส่งออกอันดับ 2 ไปยังสหรัฐ คิดเป็น 15% ของการส่งออกอะลูมิเนียมทั้งหมดของไทย สินค้าที่ส่งออก ได้แก่ อะลูมิเนียมแท่ง อะลูมิเนียมรีดแผ่น และผลิตภัณฑ์อะลูมิเนียมที่ใช้ในอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์และยานยนต์

  • ผลกระทบโดยตรง : ภาษีใหม่ กระทบต้นทุน-การแข่งขัน

สินค้าเหล็กพื้นฐาน (เช่น เหล็กแผ่น) ของไทย ถูกเก็บภาษี 25% มาตั้งแต่ปี 2561 แล้ว โดยไทยมีสัดส่วนการส่งออกเหล็กไปสหรัฐ เพียง 1.5% ของตลาดนำเข้าทั้งหมดของสหรัฐฯ ดังนั้น การขึ้นภาษีรอบนี้เป็นการ “ทับซ้อน” กับมาตรการเดิม ทำให้ผลกระทบ โดยตรงของภาษี 50% ต่อสินค้าเหล่านี้ ไม่รุนแรงมาก

อย่างไรก็ดีกลุ่มที่ต้องจับตาที่จะได้รับแรงกระแทกมากขึ้นอยู่ในกลุ่มผลิตภัณฑ์เหล็ก และ อะลูมิเนียมรีดแผ่นบางรายการ ที่ยังไม่เคยถูกเก็บภาษี 25% ในรอบก่อนหน้า ซึ่งการขึ้นภาษีรอบนี้อาจทำให้ผู้ส่งออกไทยต้องเผชิญกับต้นทุนภาษีเพิ่มขึ้น 25-50% ทันที จะทำให้ความสามารถในการแข่งขันในตลาดสหรัฐอาจลดลง โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าที่แข่งขันกับผู้ผลิตจากเวียดนาม เม็กซิโก หรือเกาหลีใต้ ที่อาจได้รับสิทธิพิเศษผ่านข้อตกลงทางการค้า

  • ผลกระทบทางอ้อม : สะเทือนทั้งอาเซียน

ผลกระทบทางอ้อมจากการขึ้นภาษีของสหรัฐในครั้งนี้ เมื่อสหรัฐ ตั้งกำแพงภาษีต่อจีน จะส่งผลให้จีนมีแนวโน้มจะเร่งการส่งออกสินค้าเหล็ก และอะลูมิเนียมมายังอาเซียน โดยเฉพาะประเทศไทย และเวียดนามที่เป็นผู้นำเข้ารายใหญ่ในรูปแบบสินค้าราคาถูก (Dumping) เข้าสู่ตลาดในประเทศ ทำให้ผู้ผลิตไทยต้องเผชิญการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการ SMEs และผู้ผลิตเหล็กท้องถิ่นที่มีต้นทุนการผลิตสูง

อย่างไรก็ตามแม้มาตรการภาษีจะเป็น “ลมแรง” ที่พัดผ่าน แต่หากไทยปรับตัวได้ทันจะช่วยสร้างโอกาสใหม่ในระยะกลางถึงระยะยาว เฉพาะอย่างยิ่งการดึงดูดการลงทุนจากบริษัทที่ย้ายฐานจากจีน เกาหลีใต้ หรือญี่ปุ่น ที่อาจมองหาฐานการผลิตใหม่ที่ไม่ถูกคู่ค้ากีดกันการค้ามาก รวมถึงใช้เป็นโอกาสในการพัฒนาอุตสาหกรรมปลายน้ำในประเทศ ส่งเสริมการใช้เหล็กและอะลูมิเนียมในอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าเพิ่ม เช่น EV, Smart Packaging, และการก่อสร้างสีเขียว เป็นต้น

บทสรุปภาษีเหล็กและอะลูมิเนียม 50% ของสหรัฐฯ ไม่ใช่ “พายุลูกใหญ่” สำหรับไทยโดยตรง แต่เป็น “สัญญาณเตือน” ว่าทิศทางลมการค้าโลกกำลังเปลี่ยนไปอีกครั้ง ในโลกที่การค้าไม่ใช่แค่เรื่องเศรษฐกิจ แต่เวลานี้ยังเป็นเกมด้านภูมิรัฐศาสตร์เต็มรูปแบบ

ดังนั้นประเทศที่ปรับตัวเร็วและวางเกมล่วงหน้าเท่านั้นที่จะอยู่รอด และคว้าโอกาสจากวิกฤตในครั้งนี้


แหล่งที่มา : ฐานเศรษฐกิจ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

The information in the above report, publication and website has been obtained from sources believed to be reliable. However, Iron & Steel Institute of Thailand does not guarantee the accuracy, adequacy or completeness of the information. Any opinions or forecasts regarding future events may differ from actual events or results. In addition, Iron & Steel Institute of Thailand reserves the right to make changes and corrections to the information, including any opinions or forecasts, at any time without notice.