“พาณิชย์” ชวนญี่ปุ่นลงทุนเพิ่ม หนุนไทยขึ้นแท่นอุตสาหกรรมอนาคต

13 มิถุนายน 2568
“พาณิชย์” ชวนญี่ปุ่นลงทุนเพิ่ม หนุนไทยขึ้นแท่นอุตสาหกรรมอนาคต

“พิชัย” เดินหน้าเจรจาญี่ปุ่น เร่งชวนลงทุนอุตสาหกรรมไฮเทค พร้อมยกระดับความร่วมมือเศรษฐกิจดิจิทัล–เศรษฐกิจสีเขียว หนุนไทยเป็นฐานผลิตสำคัญในซัพพลายเชนโลก

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการหารือทวิภาคีกับนายโอกูชิ มาซากิ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น ซึ่งจัดขึ้นในห้วงการประชุมคณะมนตรี OECD ประจำปี ณ กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส 

เพื่อหารือแนวทางความร่วมมือและการกระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างไทยกับญี่ปุ่น พร้อมทั้งเชิญชวนญี่ปุ่นลงทุนเพิ่มในอุตสาหกรรมชั้นนำอื่น ๆ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมแห่งอนาคต อาทิ อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และปัญญาประดิษฐ์ (AI) 
นายพิชัย เปิดเผยว่า ญี่ปุ่นถือเป็นพันธมิตรทางเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดและเป็นคู่ค้าสำคัญของไทยโดยเป็นคู่ค้าอันดับ 3 และเป็นนักลงทุนสะสมอันดับ 1 ของไทยมาอย่างต่อเนื่องและยาวนานและมีบริษัทญี่ปุ่นลงทุนในไทยประมาณ 6,000 บริษัท 
โดยไทยได้ให้ความสำคัญต่อการปรับปรุงกฎระเบียบด้านการอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจของชาวต่างชาติ ซึ่งช่วยสร้างความเชื่อมั่นและเอื้อต่อการเข้ามาลงทุนของต่างชาติรวมทั้งญี่ปุ่น

ทั้งนี้ได้มีการหารือกับ นายโอกูชิ มาซากิ ตนได้เชิญชวนนักลงทุนญี่ปุ่นเข้ามาขยายการลงทุนในไทยเพิ่มเติมโดยเฉพาะอุตสาหกรรมแห่งอนาคตที่ญี่ปุ่นมีศักยภาพ อาทิ ดาต้าเซนเตอร์ ดิจิทัล แผงวงจรพิมพ์ (PCB) การแพทย์และเทคโนโลยีชีวภาพและเทคโนโลยีหุ่นยนต์ เพื่อรักษาให้ไทยเป็นฐานการผลิตและห่วงโซ่อุปทานสำคัญของญี่ปุ่น

“นอกเหนือจากเรื่องการค้าการลงทุนแล้ว ยังได้เสนอให้ไทยและญี่ปุ่นมีความร่วมมือในสาขาเศรษฐกิจดิจิทัลและเศรษฐกิจสีเขียว เพื่อให้ภาคเอกชนไทยได้เรียนรู้การนำเทคโนโลยี AI และดิจิทัลของญี่ปุ่นมาปรับปรุงระบบการผลิตและพัฒนาประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจของภาคเอกชนไทยให้ดียิ่งขึ้น และพร้อมรับมือกับความท้าท้ายและการปรับตัวในการดำเนินธุรกิจในอนาคต” นายพิชัยกล่าว

นายพิชัย เปิดเผยอีกว่า ทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนความเห็นอย่างเข้มข้นเพื่อขับเคลื่อนองค์การการค้าโลกหรือ WTO ในประเด็นที่ญี่ปุ่นให้ความสำคัญ เช่น การผนวกรวมความตกลงพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ไว้ภายใต้กรอบกฎเกณฑ์ของ WTO การจัดทำกฎเกณฑ์ด้านนโยบายอุตสาหกรรม และการทำให้กลไกระงับข้อพิพาทกลับมาทำงานได้เต็มที่อิกครั้ง ซึ่งไทยยินดีให้ความร่วมมือในประเด็นเหล่านี้ 

นอกจากนี้ ไทยมีความพร้อมที่จะเปิดรับการลงทุนในอุตสาหกรรมสมัยใหม่ และถือโอกาสเชิญชวนนักลงทุนญี่ปุ่นให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทย ซึ่งรัฐมนตรีทั้งสองท่านก็ตอบรับ และแสดงความสนใจในความพร้อมของประเทศไทยเป็นอย่างยิ่ง

 อีกทั้งเมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา ได้หารือกับ Mr. HAYASHI Yoshimasa เลขาธิการคณะรัฐมนตรี (Chief Cabinet Secretary) และ Mr.Taro KONO สส .จังหวัดคานางาวะ อดีตรัฐมนตรีดิจิทัลของญี่ปุ่น ซึ่งทั้งคู่เป็นนักการเมืองที่มีบทบาทสำคัญในญี่ปุ่น 

โดยมีประเด็นความร่วมมือระหว่างไทยกับญี่ปุ่นในอุตสาหกรรมใหม่ ที่ญี่ปุ่นกำลังจะมีการลงทุนเพื่อสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และปัญญาประดิษฐ์ (AI) ของญี่ปุ่นในช่วง 10 ปีข้างหน้า โดยจะทุ่มงบประมาณมากกว่า 10 ล้านล้านเยน (2.2 ล้านล้านบาท) ซึ่งนายพิชัยต้องการให้ไทยเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งในซัพพลายเชนของญี่ปุ่นด้วย

ทั้งนี้ในปี 2567 ไทยและญี่ปุ่นมีมูลค่าการค้าระหว่างกัน 52,020.41 ล้านดอลลาร์ โดยไทยส่งออกไปญี่ปุ่น 23,285.76 ล้านดอลลาร์ สินค้าส่งออกสำคัญ อาทิ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ไก่แปรรูป เครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบอื่น ๆ เครื่องจักรและส่วนประกอบของเครื่องจักรกลเคมีภัณฑ์ และไทยนำเข้าจากญี่ปุ่น 28,734.65 ล้านดอลลาร์ 

ขณะที่สินค้านำเข้าสำคัญ อาทิ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ ส่วนประกอบและอุปกรณ์ยานยนต์และแผงวงจรไฟฟ้า

สำหรับ ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2568 (มกราคม - เมษายน) การค้าสองฝ่ายมีมูลค่ารวม 17,166.74 ล้านดอลลาร์ เป็นการส่งออก 7,649.49 ล้านดอลลาร์ และเป็นการนำเข้า 9,517.25 ล้านดอลลาร์


แหล่งที่มา : ฐานเศรษฐกิจ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

The information in the above report, publication and website has been obtained from sources believed to be reliable. However, Iron & Steel Institute of Thailand does not guarantee the accuracy, adequacy or completeness of the information. Any opinions or forecasts regarding future events may differ from actual events or results. In addition, Iron & Steel Institute of Thailand reserves the right to make changes and corrections to the information, including any opinions or forecasts, at any time without notice.