นายวิเชียร แก้วสมบัติ ผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ม.หอการค้าไทย เปิดเผยถึงกรณีอัตราภาษีที่สหรัฐฯ จะเรียกเก็บจากสินค้านำเข้าของไทย ที่ 19% ว่า ผลกระทบจากภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal tariffs) ที่มีต่อเศรษฐกิจไทย และผลกระทบรวมต่อ GDP ในปี 68 (ช่วง 5 เดือนหลังของปี) หดตัว 0.62% หรือลดลง 114,612 ล้านบาท ซึ่งประกอบด้วย 3 ส่วน คือ
โดยสินค้าที่มีความเสี่ยงสูง คือ อุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์, เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ และ ยาง-ผลิตภัณฑ์ยาง ซึ่งมีส่วนแบ่งในตลาดสหรัฐฯ สูง และยังพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ ค่อนข้างมาก
ส่วนผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในปี 69 ประเมินว่า อาจมีความรุนแรงมากขึ้น โดยคาดว่า จะมีผลกระทบต่อ GDP ให้ลดลง 1.48% หรือคิดเป็นมูลค่า 275,069 ล้านบาท หากมาตรการภาษีที่เข้มงวดไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น และ/หรือมีการเพิ่มความเข้มงวดกับประเทศคู่ค้าอื่น ๆ โดยเฉพาะประเทศที่เป็นสมาชิกกลุ่ม BRICS
สำหรับภาคส่งออก ในช่วง 7 เดือนแรกปี 68 ผลจาก Front Loading (การเร่งส่งออกล่วงหน้า) คิดเป็นมูลค่า 552,387 ล้านบาท ส่วน 5 เดือนหลังของปี 68 ผลจาก Tariff Effects และ Demand Payback คิดเป็นมูลค่าติดลบ 338,847 ล้านบาท ส่วนต่างผลจาก Demand Payback ที่อาจจะมีต่อการส่งออกในปี 69 ในช่วงครึ่งปีแรก คิดเป็นมูลค่า 213,539 ล้านบาท
อย่างไรก็ดี ประเทศไทยประสบความสำเร็จในการเจรจาภาษี และได้รับการปรับลดอัตราภาษีตอบโต้จากที่ประกาศไว้ 36% ลงมาเหลือ 19% ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มที่เท่าเทียมกับมาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และกัมพูชา
สำหรับกลุ่มที่ได้เปรียบประเทศไทย ได้แก่ สิงคโปร์ ที่ได้รับอัตราภาษีเพียง 10% ซึ่งถือเป็นประเทศที่ได้เปรียบที่สุดในภูมิภาค รองลงมาคือ ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ที่ได้รับอัตราภาษี 15% ทาให้ประเทศเหล่านี้มีต้นทุนการส่งออกที่ต่ำกว่า และได้เปรียบสินค้าจากไทยในตลาดสหรัฐฯ ขณะที่สินค้าไทยที่เสียเปรียบสิงคโปร์ คือ แผงวงจรรวมขั้นสูง และเคมีภัณฑ์ขั้นสูง และสินค้าที่ไทยเสียเปรียบ ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้ คือแผงวงจรรวม และเซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูง และเครื่องจักรกล และเครื่องมืออุตสาหกรรมขั้นสูง
ส่วนกลุ่มที่เสียเปรียบประเทศไทยมีหลายระดับ เริ่มจากเวียดนาม ไต้หวัน ศรีลังกา และบังกลาเทศ ที่ได้รับอัตราภาษี 20% ตามด้วยอินเดีย และบรูไนที่ 25% ลาว และเมียนมาที่ 40% และสุดท้าย คือ จีน ที่เสียเปรียบมากที่สุดด้วยอัตราภาษี 51% ซึ่งสร้างโอกาสให้ไทยสามารถแย่งส่วนแบ่งตลาดจากประเทศเหล่านี้ได้
โดยสินค้าที่ไทยได้เปรียบเวียดนาม คือสมาร์ทโฟน และอุปกรณ์โทรคมนาคม และรองเท้า และผลิตภัณฑ์หนัง, สินค้าที่ไทยได้เปรียบไต้หวัน คือ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องจักรอุตสาหกรรม, สินค้าที่ไทยได้เปรียบอินเดีย คือ อัญมณีและเครื่องประดับ, ผลิตภัณฑ์เคมีและพลาสติก และเครื่องจักรกลและอุปกรณ์การผลิต และสินค้าที่ไทยได้เปรียบจีน คือ อุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์, เครื่องจักรกลและคอมพิวเตอร์ และเฟอร์นิเจอร์ และสินค้าเบ็ดเตล็ด
สำหรับข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย 6 มาตรการ ได้แก่
– มาตรการบรรเทาผลกระทบ: ช่วยเหลือทางการเงินสำหรับผู้ส่งออก และเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบ, เน้นภาคส่วนเสี่ยงสูง สิ่งทอ/เครื่องนุ่งห่ม, อาหารแปรรูป, ผลิตภัณฑ์ยาง และช่วยรักษาการจ้างงาน
– ส่งเสริมการเพิ่มมูลค่า: สนับสนุน R&D และนวัตกรรม, พัฒนาสินค้าพรีเมียม และสินค้า GI (Geographic Indication) และลดการพึ่งพาการแข่งขันด้านราคา
– สร้างความชัดเจนในกฎ Transshipment : เจรจากับสหรัฐฯ เพื่อสร้างความชัดเจนในเกณฑ์การพิจารณา, ลดการพึ่งพาส่วนประกอบจากจีน เพื่อลดความเสี่ยงที่จะถูกเก็บภาษี 40% สำหรับสินค้า Transshipment และอาจจะต้องเพิ่มสัดส่วน Local Content เป็น 50-60%
– ส่งเสริมการใช้ Local Content: นโยบายและมาตรการจูงใจเพิ่มสัดส่วนการผลิตในประเทศ และเร่งพัฒนาให้สินค้าไทยมีคุณสมบัติเป็น “สินค้าไทยแท้ (สินค้าที่ติดตรา Product of Thailand)”
– แสวงหาตลาดใหม่เพิ่มเติม: สหภาพยุโรป, ตะวันออกกลาง, ตลาดในภูมิภาค ASEAN และลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ
– ใช้ประโยชน์จากการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจ: ใช้ประโยชน์จาก RCEP และ ATIGA (ASEAN Trade in Goods Agreement), เสริมสร้างการค้าภายในภูมิภาค และสร้างความยืดหยุ่นห่วงโซ่อุปทาน
– เร่งออกมาตรการจูงใจ FDI: ปรับปรุงมาตรการจูงใจให้แข่งขันได้ และเน้นภาคส่วนที่มีมูลค่าเพิ่มสูง ยานยนต์ไฟฟ้า, เซมิคอนดักเตอร์, ดาต้าเซ็นเตอร์, เทคโนโลยีขั้นสูง
– ปรับปรุงสภาพแวดล้อมธุรกิจ: พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน, ปรับปรุงกฎระเบียบ และเพิ่มความสะดวกในการดำเนินธุรกิจ
– กระตุ้นเศรษฐกิจภายใน: มาตรการกระตุ้นการบริโภค และการลงทุนภาคเอกชน, ชดเชยผลกระทบจากการส่งออกที่ชะลอ และเสริมสร้างความเชื่อมั่น
– แก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง: แก้ไขหนี้ครัวเรือนที่สูง, พัฒนาภาคเกษตรกรรม และสร้างภูมิคุ้มกันเศรษฐกิจระยะยาว
– เฝ้าระวังและประเมินผล: จัดตั้งกลไกเพื่อติดตามผลกระทบอย่างต่อเนื่อง และประเมินสถานการณ์ และปรับนโยบายอย่างทันท่วงที
– ดำเนินการทูตเพื่อการค้าในเชิงรุก: รักษาช่องทางสื่อสารกับสหรัฐฯ, เจรจากับประเทศคู่ค้าอื่น ๆ และแสวงหาโอกาสปรับปรุงเงื่อนไขในข้อตกลงการค้าให้ดีขึ้น
ด้านนายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ม.หอการค้าไทย กล่าวว่า สำหรับอัตราภาษีสหรัฐฯ ของไทยที่ 19% เมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งทางการค้า มองว่าไทยไม่เสียเปรียบ ภาพรวมทั่วโลกประเทศอื่น ๆ ยกเว้นจีนไม่ได้รับผลกระทบกระเทือนมาก ดังนั้น การส่งออกของไทยไปประเทศต่าง ๆ ไม่ชะลอมาก ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวในช่วงไฮซีซันก็ไม่น่าชะลอลงเช่นกัน โดยมองว่านักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะเดินทางเข้ามาเที่ยวในไทยปีนี้ มีโอกาสแตะ 34 ล้านคนได้
สำหรับการวิเคราะห์สถานการณ์ (ประมาณการ ณ มิ.ย. 68) ยังคงอยู่ในกรณีฐาน (Base Case) คือ Tariff ที่ระดับ 15-20%, ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล-อิหร่าน คลี่คลายได้เร็ว, ความตึงเครียดพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา คลี่คลายได้เร็ว, ประสิทธิผลของโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจเบิกจ่ายงบฯ ได้ 50% ในปี 68, เสถียรภาพของรัฐบาล นายกฯ อยู่ตลอดปี 68 ประเมิน GDP ที่ 1.7% (กรอบ 1.5-2.0%)
นายธนวรรธน์ เชื่อว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้ จะเติบโตได้ไม่ต่ำกว่า 1.5% แน่นอน เพราะยังเป็นไปตามเงื่อนไข Base Case ที่ Reciprocal Tariff อยู่ที่ 19% โดยขณะนี้ความตึงเครียดบริเวณพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ได้เข้าสู่ขั้นตอนการเจรจาของคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) แต่ยังไม่ทราบว่าการคลี่คลายจะเป็นไปตามแผนหรือไม่ จะรวดเร็วแค่ไหน และด่านตามแนวชายแดนยังปิดหรือไม่
ทั้งนี้ ม.หอการค้าไทย ประเมินว่า ถ้ายังปิดการค้าชายแดนอยู่ มูลค่าการส่งออกจะหายไปเดือนละประมาณ 11,000 ล้านบาท ซึ่งในประเด็นนี้ยังอยู่ในสมมติฐานที่อาจคลี่คลายในเวลาเหมาะสม และไม่กระเทือนต่อเศรษฐกิจ สำหรับงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจที่ 1.57 แสนล้านบาท เชื่อว่ายังอยู่ในเกณฑ์ 50-75% เพราะยังไม่เห็นอัตราเร่งในการจ่าย
ในส่วนของเสถียรภาพทางการเมืองในกรณี Base Case คือไม่มีการยุบสภา ก่อนเข้าสู่งบประมาณแผ่นดินปี 69 ซึ่งขณะนี้ แผนของสำนักงบประมาณ คือตั้งใจให้งบประมาณแผ่นดินเสร็จในวันที่ 15 ส.ค.นี้ ซึ่งมองว่าน่าจะผ่าน เนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญ จะตัดสินกรณีของนายกรัฐมนตรี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ในวันที่ 22 ส.ค. 68 ดังนั้นยังเชื่อว่าการเมืองยังมีเสถียรภาพ ไม่มีผลกระทบต่องบประมาณแผ่นดิน สำหรับภาพการเมืองหลังจากนี้ ก็เชื่อว่าอยู่ในกลไกของกรอบประชาธิปไตย จึงไม่ได้มองประเด็นการเมืองเป็นปัจจัยเสี่ยง
อ่านต่อได้ที่ : https://www.infoquest.co.th/2025/518700