ส่องภาษีใหม่ทรัมป์: อาเซียนถูกเก็บชาติละเท่าไหร่ ใครลด-ใครเพิ่ม ต้องแลกมาด้วยอะไรบ้าง

01 สิงหาคม 2568
ส่องภาษีใหม่ทรัมป์: อาเซียนถูกเก็บชาติละเท่าไหร่ ใครลด-ใครเพิ่ม ต้องแลกมาด้วยอะไรบ้าง

ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา นับตั้งแต่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ประกาศภาษีศุลกากรครั้งแรกเมื่อวันที่ 2 เม.ย. ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ต่างพึ่งพาการส่งออกได้พยายามทุกกระบวนท่าเพื่อขอปรับลดภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ ซึ่งหลังจากการเจรจาที่เข้มข้นและยืดเยื้อมานานหลายเดือน ในที่สุดปธน.ทรัมป์ได้ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหาร (Executive Order) ประกาศใช้อัตราภาษีใหม่สำหรับสินค้าส่งออกของหลายประเทศ ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม 2568

โดยเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 31 ก.ค. ตามเวลาสหรัฐฯ ปธน.ทรัมป์ได้ประกาศปรับรื้ออัตราภาษีตอบโต้ หรือภาษีต่างตอบแทน (reciprocal tariff) ที่จะใช้กับหลายประเทศ ก่อนถึงเส้นตายที่กำหนดไว้ในวันที่ 1 ส.ค. ส่วนประเทศที่ไม่มีชื่อในคำสั่งฉบับล่าสุดจะถูกเก็บภาษีพื้นฐานที่ 10% ซึ่งคำสั่งฉบับนี้เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมจากคำสั่งฝ่ายบริหารที่เคยประกาศใช้เมื่อเดือนเม.ย.

ก่อนหน้านี้หลายประเทศในอาเซียนถูกกำหนดอัตราภาษีในช่วง 25% ถึง 40% ภาษีที่ทำเนียบขาวเปิดเผยล่าสุดจึงกลับกลายเป็น “ข่าวดี” สำหรับหลายชาติ เพราะอัตราภาษีถูกปรับลดลงมาเหลือเพียง 19% สำหรับประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่หลายแห่ง

อย่างไรก็ตาม การบรรลุข้อตกลงดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นโดยปราศจากเงื่อนไข หลายประเทศต้องทำข้อตกลงทางการค้าและลงทุนที่สำคัญเพื่อแลกกับภาษีที่ลดลง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงกลยุทธ์การเจรจาของทรัมป์ที่มุ่งเน้นการปกป้องผลประโยชน์ของสหรัฐฯ เป็นหลัก

แล้วอาเซียนแต่ละประเทศถูกเก็บภาษีกันไปคนละเท่าไหร่ มีเบื้องลึกเบื้องหลังอย่างไร ใครได้ส่วนลด ใครถูกเก็บเพิ่ม รวมทั้งมีปฏิกิริยากันอย่างไรบ้าง

ไทย 19% ลดลงจาก 36%

ไทยบรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ ได้สำเร็จ ส่งผลให้อัตราภาษีนำเข้าถูกปรับลดลงจากเดิมที่เคยถูกกำหนดไว้สูงถึง 36% เหลือ 19% ซึ่งถือเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญของ “ทีมไทยแลนด์” ตามที่โฆษกรัฐบาลไทยกล่าว ความสำเร็จนี้เกิดขึ้นจากการที่รัฐบาลไทยได้แสดงความมุ่งมั่นที่จะให้ความร่วมมือ โดยได้ยื่นข้อเสนอสำคัญเพื่อลดความไม่สมดุลทางการค้า เช่น การเปิดตลาดสินค้าสหรัฐฯ ให้กว้างขึ้น และการให้คำมั่นว่าจะจัดการกับปัญหาการส่งออกสินค้าของไทยที่เกินดุลมาอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ การบรรลุข้อตกลงยังเกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกับที่สหรัฐฯ เข้ามามีบทบาทในการไกล่เกลี่ยความขัดแย้งบริเวณชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา ทำให้สถานการณ์ตึงเครียดคลี่คลายลง อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์มองว่า การที่ไทยได้ลดภาษีเป็นผลมาจากการเจรจาทางการค้าโดยตรงมากกว่าการที่ไทยทำข้อตกลงหยุดยิงกับกัมพูชา

นายพิชัย ชุณหวชิร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของไทย โพสต์ข้อความผ่าน X ว่า อัตราภาษีใหม่ที่ไทยได้รับนั้น “สะท้อนถึงมิตรภาพและความเป็นพันธมิตรที่แน่นแฟ้นระหว่างไทย–สหรัฐฯ” พร้อมเสริมว่า อัตราภาษีใหม่นี้จะช่วยให้ไทยยังคงแข่งขันได้ในเวทีโลก สร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุน และเปิดประตูสู่การขยายตัวทางเศรษฐกิจ

อย่างไรก็ดี นายพิชัยกล่าวด้วยว่า รัฐบาลตระหนักถึงผลกระทบต่อผู้ประกอบการและเกษตรกร จึงได้เตรียม “มาตรการรองรับอย่างรอบด้าน” ไว้แล้ว ทั้งงบประมาณ Soft Loan เงินอุดหนุน และมาตรการทางภาษี เพื่อยกระดับให้ไทยสามารถปรับตัวได้

ด้านนายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า อัตราภาษีใหม่ที่ไทยได้รับนั้นเกาะกลุ่มในระดับใกล้เคียงกับภูมิภาค อาทิ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น ทำให้ไทยสามารถรักษาการแข่งขันได้

“การปิดดีลครั้งนี้ของรัฐบาลไทยในระดับภาษีนำเข้า 19% ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ในแนวทาง win-win เพื่อรักษาฐานการส่งออกและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาวความ ย้ำถึงศักยภาพของประเทศไทยในเวทีการค้าโลก ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงในนโยบายการค้าระหว่างประเทศ “ นายจิรายุ กล่าว

กัมพูชา 19% ลดลงจาก 36%

กัมพูชาเคยเป็นประเทศที่เผชิญกับอัตราภาษีสูงที่สุดในอาเซียนถึง 49% เมื่อวันที่ 2 เม.ย. ก่อนได้รับจดหมายจากผู้นำสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 7 ก.ค. ลดภาษีดังกล่าวลงมาเหลือ 36% และล่าสุดยังได้ปรับลดอีกครั้งจนมาอยู่ที่ 19% เท่ากันกับไทย อีกทั้งสถานการณ์ของกัมพูชายังไม่ต่างจากไทยเท่าไรนัก ในแง่ที่ว่าการได้ลดภาษีครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ปธน.ทรัมป์ขู่ว่าจะยกเลิกข้อตกลงทางการค้ากับทั้งสองประเทศ หากไม่ยุติความขัดแย้งบริเวณชายแดน

นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ของกัมพูชา โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กวันนี้ หลังสหรัฐฯ เผยแพร่ตารางอัตราภาษีฉบับแก้ไขว่า “นี่คือข่าวดีสำหรับประชาชนและเศรษฐกิจของกัมพูชาในการเดินหน้าพัฒนาประเทศต่อไป”

นอกจากนี้ นายกฯ กัมพูชายังได้ขอบคุณทรัมป์ที่ “ริเริ่มและผลักดันให้เกิดการหยุดยิงระหว่างกองทัพกัมพูชากับกองทัพไทย” หลังเกิดเหตุปะทะบริเวณชายแดนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

ขณะที่สื่อกัมพูชา Khmer Times รายงานในวันนี้ว่า ซุน จันทอล รองนายกรัฐมนตรีและรองประธานคนที่หนึ่งแห่งสภาเพื่อการพัฒนากัมพูชา (CDC) เปิดเผยว่า กัมพูชายกเลิกกำแพงภาษีสำหรับสินค้าจากสหรัฐฯ ทั้งหมดเป็น 0% และได้สั่งซื้อเครื่องบินโบอิ้งจำนวน 10 ลำจากสหรัฐฯ ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับการเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้าครั้งสำคัญระหว่างสองชาติ

มาเลเซีย 19% ลดลงจาก 25%

มาเลเซียเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับข่าวดี โดยอัตราภาษีถูกปรับลดลงมาเหลือ 19% จากที่ได้รับแจ้งอัตราภาษี 25% ในการร่อนจดหมายของทรัมป์เมื่อเดือนก.ค. ซึ่งขยับขึ้นจากอัตราเดิม 24% ที่ทรัมป์ประกาศเมื่อวันที่ 2 เม.ย.

การได้ปรับลดภาษีล่าสุดลงมาเหลือ 19% ทำให้มาเลเซียอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน นักวิเคราะห์ระบุว่า ความสำเร็จนี้เกิดขึ้นหลังจากมาเลเซียได้พยายามอย่างหนักเพื่อ “เอาใจ” ฝ่ายบริหารของทรัมป์ โดยมีปัจจัยหลายอย่างที่ส่งผลดีต่อมาเลเซีย เช่น การรับบทบาทเป็นคนกลางเจรจาหยุดยิงระหว่างไทยและกัมพูชา ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ได้แสดงความขอบคุณรัฐบาลมาเลเซียในเรื่องนี้

นอกจากนี้ มาเลเซียยังได้แสดงความร่วมมือในการปราบปรามการลักลอบนำเข้าและส่งออกเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งเป็นประเด็นที่สหรัฐฯ ให้ความสำคัญ การดำเนินการเหล่านี้เป็นผลมาจากการที่มาเลเซียมีเป้าหมายที่ชัดเจนในการเจรจาเพื่อให้ได้อัตราภาษีนำเข้าที่ต่ำกว่า 20% เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันทางการค้า

รัฐมนตรีกระทรวงการค้าระหว่างประเทศและอุตสาหกรรม (MITI) ของมาเลเซียกล่าวว่า อัตราภาษีที่ลดลงนี้เป็นผลดีและเป็นชัยชนะของมาเลเซียในการยืนหยัดนโยบายหลักของประเทศโดยไม่ถูกบีบบังคับ

ก่อนหน้าที่จะมีคำสั่งฝ่ายบริหารของสหรัฐฯ นี้ นายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม ของมาเลเซีย ได้กล่าวในรัฐสภาว่า “อัตราภาษีทั่วไปในวันพรุ่งนี้ (1 ส.ค.) จะผ่อนปรนลงและไม่สร้างภาระต่อเศรษฐกิจของเรา”

นายอันวาร์ยังยืนยันด้วยว่า ปธน.ทรัมป์จะเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 47 ที่มาเลเซียเป็นเจ้าภาพในเดือนต.ค. ซึ่งตอกย้ำถึงความสัมพันธ์ที่แนบแน่นขึ้นระหว่างสองชาติ เพราะในสมัยแรก ทรัมป์เคยเข้าร่วมการประชุมนี้เพียงครั้งเดียว

เวียดนาม 20% ลดลงจาก 46%

เวียดนามถือเป็นชาติแรกในอาเซียนที่บรรลุข้อตกลงภาษีกับสหรัฐฯ ได้ก่อนเดดไลน์ 1 ส.ค. โดยเวียดนามจะถูกเรียกเก็บภาษีในอัตรา 20% ลดลงอย่างมากจาก 46% ที่ทรัมป์ประกาศไว้เมื่อเดือนเม.ย.

การลดภาษีดังกล่าวเป็นผลมาจากที่เวียดนามได้แสดงความตั้งใจที่จะจัดการกับการส่งออกสินค้าจีนผ่านเวียดนามเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ หรือสินค้าสวมสิทธิ์ (transshipment) ซึ่งเป็นประเด็นที่สหรัฐฯ กังวลอย่างมาก โดยสหรัฐฯ จะเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากเวียดนามในอัตรา 40% หากพบว่าสินค้าดังกล่าวมีการสวมสิทธิ์จากต่างประเทศ

ขณะเดียวกัน ภายใต้ข้อตกลงนี้ เวียดนามจะเปิดตลาดให้สินค้าสหรัฐฯ เข้าประเทศได้โดยไม่มีกำแพงภาษี และได้ให้คำมั่นว่าจะซื้อผลิตภัณฑ์จากสหรัฐฯ เป็นจำนวนมหาศาล ทั้งในส่วนของสินค้าพลังงาน การเกษตร และอื่นๆ การเจรจานี้เป็นสัญญาณที่บ่งชี้ว่า เวียดนามกำลังพยายามรักษาสมดุลทางการค้าอย่างระมัดระวังท่ามกลางการแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างสหรัฐฯ และจีน

อินโดนีเซีย 19% ลดลงจาก 32%

อินโดนีเซียเป็นอีกหนึ่งประเทศที่สามารถบรรลุข้อตกลงภาษีตอบโต้กับสหรัฐฯ ได้สำเร็จก่อนกำหนดเส้นตาย 1 ส.ค. ทำให้อัตราภาษีที่อินโดนีเซียถูกเรียกเก็บจากสหรัฐฯ ลดลงมาอยู่ที่อัตรา 19% จากเดิม 32% โดยข้อตกลงที่ประกาศเมื่อวันที่ 15 ก.ค. ระบุเงื่อนไขแลกเปลี่ยนว่า สินค้าจากสหรัฐฯ กว่า 99% ที่ส่งไปยังอินโดนีเซียจะได้รับการยกเว้นภาษี และอินโดนีเซียยังต้องยกเลิกอุปสรรคทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี (non-tariff barriers) สำหรับสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ในหลายภาคส่วน เช่น สินค้าเกษตร ยานยนต์ และเทคโนโลยีอีกด้วย

นอกจากนี้ อินโดนีเซียยังให้คำมั่นที่จะสั่งซื้อพลังงานมูลค่า 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์ และเครื่องบินโบอิ้งมูลค่า 3.2 พันล้านดอลลาร์ ตลอดจนซื้อสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ มูลค่ารวม 4.5 พันล้านดอลลาร์

ข้อตกลงนี้แสดงให้เห็นว่าสหรัฐฯ บรรลุเป้าหมายในการ “เปิดตลาดต่างประเทศและส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมอเมริกัน” ตามที่ทรัมป์มุ่งหวังไว้ และสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่าสหรัฐฯ ใช้ภาษีนำเข้าเป็นเครื่องมือในการเจรจาเพื่อผลักดันให้ประเทศคู่ค้าต้องทำตามข้อเรียกร้องทางเศรษฐกิจ

อย่างไรก็ตาม การเจรจายังไม่สิ้นสุด โดยรัฐมนตรีอาวุโสแอร์ลังกา ฮาร์ตาร์โต เปิดเผยว่ายังคงมีการเจรจาอย่างต่อเนื่องเพื่อหวังให้อินโดนีเซียสามารถส่งออกน้ำมันปาล์มและโกโก้ในอัตราที่ต่ำลง หรือใกล้เคียง 0%

ขณะที่ประธานาธิบดีปราโบโว ซูเบียนโต ยืนยันเช่นกันว่า จะเดินหน้าเจรจากับทรัมป์ต่อไป เพื่อหวังลดอัตราภาษีลงอีก

ฟิลิปปินส์ 19% ลดลงจาก 20%

สหรัฐฯ กำหนดอัตราภาษีนำเข้าสำหรับฟิลิปปินส์ไว้ที่ 19% แม้ลดลงเพียงเล็กน้อยจากอัตราเดิม 20% แต่ก็ถือเป็นความสำเร็จทางการทูตสำหรับฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นพันธมิตรรายสำคัญของสหรัฐฯ ในภูมิภาค

การประกาศนี้เกิดขึ้นหลังจากการเดินทางเยือนทำเนียบขาวของประธานาธิบดีเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์ และการเจรจาโดยตรงกับประธานาธิบดีทรัมป์ โดยทั้งสองฝ่ายยังคงอยู่ระหว่างการสรุปรายละเอียดของข้อตกลง ซึ่งฝ่ายฟิลิปปินส์แสดงความตั้งใจที่จะเสนอการลดภาษีนำเข้าสำหรับสินค้าบางประเภทของสหรัฐฯ เช่น รถยนต์ เพื่อให้สหรัฐฯ เข้าถึงตลาดฟิลิปปินส์ได้ง่ายขึ้น

อย่างไรก็ดี มีรายงานว่า กลุ่มผู้ส่งออกแสดงความผิดหวังที่ปธน.มาร์กอสไม่ได้กล่าวถึงประเด็นดังกล่าวในการแถลงนโยบายประจำปีครั้งล่าสุด (31 ก.ค.) ทั้งที่พวกเขาคาดหวังว่าจะมีการประกาศมาตรการช่วยเหลือจากรัฐบาลเพื่อบรรเทาผลกระทบ

ลาว 40% ไม่เปลี่ยนแปลง

ลาวเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดในภูมิภาค โดยต้องเผชิญกับอัตราภาษีสูงถึง 40% เท่ากับอัตราภาษีในจดหมายที่ทรัมป์ส่งถึงผู้นำ 14 ประเทศเมื่อวันที่ 7 ก.ค. ซึ่งแม้ลดลงจากอัตราเดิม 48% เมื่อวันที่ 2 เม.ย. แต่ก็ยังถือเป็นตัวเลขที่สูงมาก

สำหรับสาเหตุที่ถูกเก็บภาษีในอัตราสูงนี้ เป็นเพราะลาวไม่สามารถบรรลุข้อตกลงการค้าฉบับใหม่กับสหรัฐฯ ได้ทันกำหนด

ก่อนหน้านี้ในเดือนเม.ย. สภาการค้าและอุตสาหกรรมแห่งชาติลาว (LNCCI) ได้แสดงความกังวลอย่างยิ่งต่อผลกระทบที่จะเกิดกับภาคการส่งออก โดยชี้ว่าอัตราภาษีที่สูงนี้คุกคามทั้งการจ้างงานและการลงทุน

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีสอนไซ สีพันดอน ได้เคยส่งจดหมายถึงประธานาธิบดีทรัมป์เมื่อเดือนเม.ย. เพื่อชี้แจงความคลาดเคลื่อนของตัวเลขการค้าและเสนอให้มีการเจรจา

เมียนมา 40% ไม่เปลี่ยนแปลง

เช่นเดียวกับลาว เมียนมาจะถูกเก็บภาษีในอัตรา 40% ซึ่งเท่ากับอัตราภาษีในจดหมายเมื่อวันที่ 7 ก.ค. แต่ลดลงจากอัตราเดิมที่ 44% เมื่อวันที่ 2 เม.ย.

โดยทำเนียบขาวให้เหตุผลที่เมียนมายังถูกเก็บภาษีในอัตราสูงว่า เป็นเพราะไม่มีการบรรลุข้อตกลงการค้าฉบับใหม่ แม้ว่าเมื่อเดือนก่อน พลเอกอาวุโสมิน อ่อง หล่าย ผู้นำรัฐบาลทหารเมียนมา ได้ส่งจดหมายถึงปธน.ทรัมป์ โดยกล่าวชื่นชมและร้องขอให้ลดอัตราภาษีลงก็ตาม คาดว่าอัตราภาษีที่สูงนี้จะยิ่งซ้ำเติมปัญหาเศรษฐกิจของประเทศให้รุนแรงขึ้น

สิงคโปร์ 10% ไม่เปลี่ยนแปลง

สิงคโปร์ถือเป็นชาติอาเซียนที่อยู่ในจุดได้เปรียบ โดยอัตราภาษีที่สหรัฐฯ เรียกเก็บจากสิงคโปร์ถือว่าต่ำเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ โดยอยู่ที่ 10% เนื่องจากความสัมพันธ์ทางการค้าที่แน่นแฟ้นและมูลค่าการค้าที่สมดุลกับสหรัฐฯ อยู่แล้ว

ก่อนหน้านี้ นายกรัฐมนตรีลอว์เรนซ์ หว่อง ให้ความเห็นว่า แม้ภาษี 10% จะ “ไม่ใช่อัตราในอุดมคติ” แต่สิงคโปร์ก็ “พอรับได้”

ขณะที่ หงัน กิม หยง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าของสิงคโปร์ ระบุว่า ระหว่างการเยือนกรุงวอชิงตันครั้งล่าสุด สหรัฐฯ “ไม่มีท่าที” ที่จะเจรจาในอัตราที่ต่ำกว่านี้

อย่างไรก็ดี ด้วยบทบาทในฐานะศูนย์กลางการส่งต่อสินค้าที่สำคัญ ทำให้สิงคโปร์เสี่ยงได้รับผลกระทบจากภาษี transshipment ใหม่ที่ 40%

บรูไน 25% เพิ่มขึ้นจากเดิม 24%

บรูไนถือเป็นประเทศเดียวในอาเซียนที่จะถูกเก็บภาษีสูงขึ้นจากอัตราเดิมเมื่อวันที่ 2 เม.ย. โดยขยับขึ้นจาก 24% เป็น 25%

ทั้งนี้ ข้อมูลจากเว็บไซต์ สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ หรือ USTR ในปี 2567 มูลค่าการค้าระหว่างบรูไรกับสหรัฐฯ โดยรวมอยู่ที่ 366 ล้านดอลลาร์ในปี 2567 สินค้าส่งออกหลักของบรูไนไปยังสหรัฐฯ ได้แก่ น้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ส่วนสินค้าหลักที่บรูไนนำเข้าจากสหรัฐฯ ได้แก่ เครื่องจักรและรถยนต์

การประกาศอัตราภาษีใหม่ครั้งนี้จากประธานาธิบดีทรัมป์ แสดงให้เห็นถึงความพยายามอย่างต่อเนื่องในการปรับเปลี่ยนภูมิทัศน์การค้าโลก โดยใช้ภาษีเป็นเครื่องมือในการเจรจาต่อรองและบีบให้ประเทศต่าง ๆ ต้องยอมทำข้อตกลงที่เอื้อประโยชน์ต่อสหรัฐฯ

แม้ว่าหลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะสามารถเจรจาต่อรองให้ได้อัตราภาษีที่ลดลง แต่ความท้าทายในการปรับตัวและรักษาความสามารถในการแข่งขันยังคงเป็นสิ่งที่ต้องจับตาดูต่อไป ไม่ว่าจะเป็นความไม่แน่นอนของรายละเอียดในข้อตกลงที่ยังไม่เป็นที่สิ้นสุด ไปจนถึงประเด็นภาษีเฉพาะภาคส่วน เช่น รถยนต์ หรือเหล็ก ที่อาจส่งผลกระทบอย่างมากต่อการส่งออกหลักของแต่ละประเทศในอนาคต

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (01 ส.ค. 68)


แหล่งที่มา : อินโฟเควสท์

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

The information in the above report, publication and website has been obtained from sources believed to be reliable. However, Iron & Steel Institute of Thailand does not guarantee the accuracy, adequacy or completeness of the information. Any opinions or forecasts regarding future events may differ from actual events or results. In addition, Iron & Steel Institute of Thailand reserves the right to make changes and corrections to the information, including any opinions or forecasts, at any time without notice.