เร่งคลอด พ.ร.บ.ลดโลกร้อน ปลดล็อก 3 กลไกลสู้ศึกลดคาร์บอนโลก

02 สิงหาคม 2568
เร่งคลอด พ.ร.บ.ลดโลกร้อน ปลดล็อก 3 กลไกลสู้ศึกลดคาร์บอนโลก

ไทยเดินหน้า พ.ร.บ. Climate Change ฉบับแรก เปิดทาง 3 กลไกใหม่ คุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทั้งภาษีคาร์บอน-ซื้อขายสิทธิปล่อยคาร์บอน-เครดิตภาคสมัครใจ ตั้งกองทุนหมุนเวียนและ CBAM เวอร์ชันไทย รับมือกฎเหล็กการค้าโลกยุคคาร์บอน

ภาวะโลกร้อนกำลังทวีความรุนแรง จนกลายเป็นวิกฤตที่ทั่วโลกต้องเผชิญร่วมกัน ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ และมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวด ประเทศต่าง ๆ จึงจำเป็นต้องออกกฎหมายและมาตรการเพื่อชะลอปัญหา และปกป้องโลกจากวิกฤตดังกล่าว

ประเทศไทยอยู่ระหว่างการผลักดันพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ พ.ร.บ. Climate Change เพื่อสร้างกรอบกฎหมายในการลดก๊าซเรือนกระจกอย่างเป็นระบบและยั่งยืน

นายพิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเเละสิ่งแวดล้อม ให้สัมภาษณ์ “ฐานเศรษฐกิจ” ถึงความคืบหน้าของร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้ ซึ่งถูกออกแบบให้เหมาะสมกับบริบทของประเทศไทย พร้อมศึกษากลไกจากต่างประเทศเพื่อเสริมประสิทธิภาพ

พ.ร.บ. ฉบับนี้จะเป็น พ.ร.บ.ใหม่ของประเทศไทยที่จะช่วยให้การขับเคลื่อนในการแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ในทุกมิติให้สมดุลมากขึ้น เพราะจะมีทั้งการบังคับและการสนับสนุนควบคู่กันไป

ร่างกฎหมายดังกล่าวได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการเร่งรัดการเสนอร่าง พ.ร.บ. เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2568 และคณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบเมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2568 ปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ก่อนเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาภายใน 50 วัน จากนั้นจะเข้าสู่กระบวนการรัฐสภา โดยคาดว่าจะผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาภายในปี 2569

มีคําถามว่า ทําไม พ.ร.บ.โลกร้อน ใช้เวลานานมากหรือประเทศไทยไม่จริงจังกับเรื่องนี้ ผมขอเรียนว่า เราจริงจังมาก แต่ประเทศไทยมีขั้นมีตอนมีกฎระเบียบ ซึ่งภายในปี 2569 ก็ต้องการเห็นกฎหมายฉบับนี้ออกมาบังคับใช้ ระหว่างนี้ได้ทํางานคู่ขนานในการพัฒนากฎหมายลูกไปด้วย 10 กว่าฉบับ ซึ่งกลไกทั้งหมดใช้เวลา

แกนหลักของกฎหมาย 3 กลไกเพื่อจัดการคาร์บอน

ร่าง พ.ร.บ. นี้ประกอบด้วยทั้งหมด 205 มาตรา แบ่งออกเป็น 14 หมวด และ 1 หมวดเฉพาะทาง มีสาระสำคัญที่ออกแบบขึ้นเพื่อควบคุมและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ผ่านกลไกทางเศรษฐกิจที่รัฐจะบังคับใช้

ระบบซื้อขายสิทธิการปล่อยก๊าซ (ETS)

ภาคอุตสาหกรรมจะต้องเข้าสู่ระบบที่รัฐกำหนดสิทธิการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หากปล่อยเกินจะต้องซื้อสิทธิจากผู้อื่น โดยระบบนี้จะช่วยจำกัดการปล่อยและกระตุ้นให้เกิดการลงทุนในเทคโนโลยีสะอาด

การจัดสรรสิทธิการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ก็คล้ายกับกลไกที่อียูใช้บังคับภาคเอกชน  ถ้าไม่ทําจะมีค่าปรับ และถ้าไม่ทำค่าปรับจะแพงขึ้นไปเรื่อยๆ เป็นการบีบให้เอกชนต้องลงทุนในการใช้เทคโนโลยีที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเอกชนจะถูกบังคับสําหรับกลุ่มที่ปล่อยก๊าซจำนวนมาก จะไม่ได้บังคับเอกชนทุกราย โดยเฉพาะ SME บังคับไม่ได้เพราะปล่อยก๊าซไม่มาก

ภาษีคาร์บอน

กำหนดให้จัดเก็บภาษีจากผลิตภัณฑ์ที่ปล่อยคาร์บอน เช่น น้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งจะเริ่มเก็บที่หน้าหัวจ่าย โดยใช้อัตราภาษีเบื้องต้น 200 บาทต่อตันคาร์บอน คำนวณแล้วจะทำให้ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นประมาณ 50 สตางค์ต่อลิตร เป็นรายได้เข้ากระทรวงการคลัง

ระบบเครดิตคาร์บอนแบบสมัครใจ

หลายคนก็บอกว่าแล้วทําคาร์บอนเครดิต กลัวเรื่องการฟอกเขียว เรากังวลเช่นกัน เพราะไม่ต้องการให้เกิดการฟอกเขียว ถ้าเอื้อให้เกิดการฟอกเขียวจากการใช้กลไกใน พ.ร.บ. ฉบับนี้ ประเทศจะไปต่อไม่ได้ เพราะว่าเมื่อไหร่ที่เกิดการฟอกเขียวขึ้น ทุกคนก็รู้กันทั้งโลก จะทำการค้า การลงทุนสีเขียวก็ไปต่อไม่ได้ กลไกจะเชื่อมคาร์บอนดิตภาคสมัครใจ เข้าสู่ภาคบังคับหมายความว่า มีการจัดสรรสิทธิการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ใช้กับอุตสาหกรรมที่ต้องเปลี่ยนผ่าน ใช้คาร์บอนเครดิตมาแลกเปลี่ยนหรือหักลบกับสิทธิการปล่อยในระบบ ได้ไม่เกิน 15%

ภาษีคาร์บอนจะจัดเก็บเพิ่มเติมจากสินค้าที่มีคาร์บอนแฝงสูง เช่น น้ำมันในภาคขนส่ง ขณะเดียวกัน เอกชนจำเป็นต้องลดการปล่อยก๊าซด้วยตนเอง หากไม่สามารถลดได้จะต้องชำระเงินชดเชยเข้ากองทุนสภาพภูมิอากาศ นอกจากนี้ การซื้อขายคาร์บอนเครดิตจะอยู่ภายใต้การดูแลของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และสำนักงาน ก.ล.ต.

Thailand CBAM

ร่างกฎหมายยังได้กำหนดการจัดตั้ง Thailand CBAM หรือกลไกการปรับราคาคาร์บอนข้ามพรมแดนของไทย คล้ายกับมาตรการ CBAM ของสหภาพยุโรป ซึ่งจะช่วยรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ผลิตในประเทศ และหลีกเลี่ยงการเสียภาษีซ้ำซ้อนเมื่อนำสินค้าไปส่งออก

มาตรการ CBAM วันนี้มีประมาณ 6 ประเภทของสินค้าไทยที่กระทบโดยเฉพาะเหล็ก แต่ในอนาคตจะมีการเพิ่มผลิตภัณฑ์ในบัญชีรายชื่อ ซึ่งจะกระทบกับประเทศมากขึ้น ขณะนี้ อังกฤษกําลังทํา ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย แคนาดา ศึกษาอยู่  สหรัฐเมื่อก่อนก็ศึกษาเรื่องนี้แต่วันนี้นโยบายเปลี่ยนก็อาจจะยังไม่ได้ทําต่อ แต่ก็จะมีกลไกแบบ CBAM เกิดขึ้นอีกมาก พ.ร.บ.นี้ก็จะแก้ปัญหาเรื่องของค่าธรรมเนียม เพื่อจะนำเม็ดเงินกลับมาพัฒนาประเทศได้

จัดตั้งกองทุนภูมิอากาศ (Climate Fund)

กฎหมายยังเสนอจัดตั้งกองทุนภูมิอากาศ (Climate Fund) ซึ่งเป็นกองทุนหมุนเวียนในรูปแบบนิติบุคคล ภายใต้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ไม่อยู่ในโครงสร้างราชการ โดยจะให้ภาคเอกชนร่วมสมทบ และเปิดทางให้ธนาคารพาณิชย์เข้ามามีบทบาทด้วย

 

เงินในกองทุนจะนำไปใช้สนับสนุนเอกชนผ่านเครื่องมือทางการเงินต่าง ๆ เช่น เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ หรือเงินอุดหนุนเพื่อการลงทุนในเทคโนโลยีที่ช่วยลดการปล่อยคาร์บอน แม้ภาษีคาร์บอนจะไม่ถูกนำเข้าโดยตรงในกองทุน แต่สามารถจัดสรรส่วนหนึ่งให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามที่กฎหมายการคลังของรัฐกำหนดไว้ กองทุนภูมิอากาศเป็นกลไกลสนับสนุน โดยสามารถแบ่งสัดส่วนการจัดสรรเงินโดยจะมีการจัดสรรอย่างเป็นระบบ เช่น ให้เอกชนกู้ยืมแบบดอกเบี้ยต่ำร่วมกับธนาคารพาณิชย์ เพื่อจะนําไปสู่การใช้เทคโนโลยี อีกส่วนหนึ่งนำมาให้ประชาชน ชุมชนหรือกลุ่มมูลนิธิต่างๆ ที่จะไปช่วยพัฒนาขีดความสามารถในการปรับตัวรองรับผลกระทบ และอีกส่วนหนึ่งเป็นเรื่องงานวิจัยที่ไม่ซ้อนทับกับ อว. ที่จะนําไปสู่การขับเคลื่อนการลดก๊าซเรือนกระจก

 


แหล่งที่มา : ฐานเศรษฐกิจ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

The information in the above report, publication and website has been obtained from sources believed to be reliable. However, Iron & Steel Institute of Thailand does not guarantee the accuracy, adequacy or completeness of the information. Any opinions or forecasts regarding future events may differ from actual events or results. In addition, Iron & Steel Institute of Thailand reserves the right to make changes and corrections to the information, including any opinions or forecasts, at any time without notice.