ครม.ไฟเขียวงบกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสอง 1.85 หมื่นลบ. ใช้เพิ่มขีดความสามารถแข่งขัน

05 สิงหาคม 2568
ครม.ไฟเขียวงบกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสอง 1.85 หมื่นลบ. ใช้เพิ่มขีดความสามารถแข่งขัน

นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ระยะที่ 2 ซึ่งผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการกระตุ้นเศรษฐกิจ 18,500 ล้านบาทโดยประมาณ โดยส่วนแรกเป็นโครงการในส่วนของกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เพื่อพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และส่วนที่ 2 เป็นของกองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ที่จะไปเพิ่มในเรื่องผู้กู้รายใหม่และดูแลผู้กู้รายเก่า ซึ่งเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในระยะยาวของประเทศเช่นเดียวกัน โดยทั้งสองเรื่องมีการพิจารณาในคณะรัฐมนตรีและได้รับการอนุมัติ โดยไม่มีข้อทักท้วงใด ๆ

ส่วนงบประมาณที่ยังเหลืออยู่อีกประมาณ 20,000 ล้านบาทนั้น นายจุลพันธ์ กล่าวว่า ยังต้องไปรอกระบวนการ ซึ่งในวันที่มีการพิจารณาคณะกรรมการกระตุ้นเศรษฐกิจได้พิจารณาภาวะเศรษฐกิจ รวมถึงสถานการณ์เจรจาต่อรองเรื่องภาษีแล้ววันนั้นยังไม่ตกผลึก แต่วันนี้เริ่มชัดเจนแล้วว่าเราได้อัตราภาษีที่ 19% และเราก็ไม่ได้เสียทุกอย่าง ขณะเดียวกันก็มีการเปิดสินค้าจำนวนมาก แต่ในสินค้าที่ต้องดูแลเกษตรกรบางกลุ่ม รวมถึงสินค้าที่เราต้องให้ความคุ้มครองก็ยังได้รับการดูแลอยู่นั้น ถือว่าเป็นการได้ข้อตกลงที่ค่อนข้างเป็นประโยชน์กับประเทศไทย

รมช.คลัง กล่าวว่า เมื่อมีความชัดเจนมาแล้วเช่นนี้ หลังจากนี้ก็คงต้องมาประชุมกันว่างบประมาณที่เหลือในการกระตุ้นเศรษฐกิจของปี 2568 เราจะดำเนินการอย่างไรต่อไป เพราะยังไม่ได้มีการตัดสินใจ แต่จะนำไปใช้ในการเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีการกำหนดหลักเกณฑ์เบื้องต้นออกมา

ด้านนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง เปิดเผยว่า ครม.ได้มีมติเห็นชอบข้อเสนอโครงการ/รายการ กระตุ้นเศรษฐกิจตามแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ภายใต้กรอบวงเงิน 157,000 ล้านบาท (ข้อเสนอโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจฯ) ระยะที่ 2 จำนวน 2 หน่วยรับงบประมาณ เพื่อเป็นการเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งจะช่วยยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทย ให้พร้อมรับมือการแข่งขันทางเศรษฐกิจโลกที่มีความไม่แน่นอนมากขึ้น ซึ่งเป็นผลจากการขึ้นภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ของสหรัฐฯ และเพื่อพัฒนาทุนมนุษย์ในกลุ่มนักเรียน/นักศึกษา เป็นการรองรับความเสี่ยงที่เศรษฐกิจไทยชะลอตัวในปี 2568 และเป็นการวางรากฐานการเติบโตของประเทศในระยะยาว โดยมีรายละเอียด ดังนี้

1. โครงการเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย

1.1 หน่วยงานดำเนินโครงการ: กองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย (กองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันฯ) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน

1.2 วัตถุประสงค์: เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทย ให้พร้อมรับมือการแข่งขันทางเศรษฐกิจโลก ดึงดูดและรักษาการลงทุนจากผู้ประกอบการรายใหญ่ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย ด้วยการบรรเทาผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และมาตรการภาษีส่วนเพิ่ม (Global Minimum Tax) และส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่สร้างมูลค่าเพิ่มถ่ายทอดเทคโนโลยี และพัฒนาบุคลากร โดยในระยะสั้น สนับสนุนพัฒนาทักษะการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล การเปลี่ยนผ่านสู่อุตสาหกรรมใหม่ และในระยะยาว สนับสนุนการวิจัยและพัฒนา การพัฒนาบุคลากร และการลงทุนเพื่อยกระดับขีดความสามารถ

1.3 กลุ่มเป้าหมาย: ผู้ประกอบการไทยที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ผู้ประกอบการขนาดใหญ่ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีส่วนเพิ่ม (Global Minimum Tax) และผู้ลงทุนเชิงยุทธศาสตร์ขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย

1.4 งบประมาณ: 10,000 ล้านบาท โดยจัดสรรให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำหรับกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันฯ

2. โครงการการลงทุนพัฒนาทุนมนุษย์ เพื่อรองรับความเสี่ยงที่เศรษฐกิจไทยอาจชะลอตัวในปี 2568

2.1 หน่วยงานดำเนินโครงการ: กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.)

2.2 วัตถุประสงค์: เพื่อให้เงินกู้ยืมที่เป็นค่าครองชีพและค่าเล่าเรียน รวมทั้งค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาและค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในการครองชีพระหว่างศึกษา สำหรับนักเรียน/นักศึกษาที่เป็นผู้กู้ยืมเงินรายใหม่/ผู้กู้ยืมเงินรายเก่า ซึ่งจะทำให้นักเรียน/นักศึกษาได้ศึกษาอย่างต่อเนื่อง ไม่พักการศึกษาหรือเลิกการศึกษาในปีการศึกษา 2568

2.3 กลุ่มเป้าหมาย: นักเรียน/นักศึกษาที่เป็นผู้กู้ยืมเงินรายใหม่/ผู้กู้ยืมเงินรายเก่า รวมจำนวน 139,481 ราย

2.4 งบประมาณ: 8,488 ล้านบาท

นายพิชัย กล่าวว่า ในระยะต่อไป คณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ จะพิจารณาโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจด้านการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายภาษีแบบตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจ เพื่อรองรับสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจต่อไป

 


แหล่งที่มา : อินโฟเควสท์

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

The information in the above report, publication and website has been obtained from sources believed to be reliable. However, Iron & Steel Institute of Thailand does not guarantee the accuracy, adequacy or completeness of the information. Any opinions or forecasts regarding future events may differ from actual events or results. In addition, Iron & Steel Institute of Thailand reserves the right to make changes and corrections to the information, including any opinions or forecasts, at any time without notice.