เติมเงินหมื่นล้าน เยียวยาภาษีทรัมป์ ผู้ผลิตดิ้นแก้เกมปม ‘สินค้าสวมสิทธิ’

06 สิงหาคม 2568
เติมเงินหมื่นล้าน เยียวยาภาษีทรัมป์ ผู้ผลิตดิ้นแก้เกมปม ‘สินค้าสวมสิทธิ’
คลังเร่งเคาะโมเดลเยียวยาเอกชนโดนผลกระทบภาษีทรัมป์ รัฐบาลเติมเงิน 10,000 ล้านใส่กองทุนเพิ่มขีดแข่งขันฯ เป็นช่องทางดูแลผู้ประกอบการ เผยมีทั้งโมเดลจ่ายเงินเยียวยา-ชดเชยภาษี-ซอฟต์โลน ผู้ผลิตจับตาประเด็นเพิ่มสัดส่วน RVC 50-60% ป้องกันสินค้า “สวมสิทธิ” หวั่นกระทบปัญหาต้นทุน-แหล่งป้อนวัตถุดิบ ส.อ.ท.ยื่นเงื่อนไขรัฐขอเวลา 3 ปีทยอยขยับเพิ่มสัดส่วน Local Content ผู้ผลิตวางแผนเร่งปรับซัพพลายเชนอุตลุด  พบ 3,000 บริษัทไทย เข้าข่ายสวมสิทธิ

เติมหมื่นล้านอุ้ม ‘ภาษีทรัมป์’
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากที่ประเทศไทยได้ดีลภาษีนำเข้าจากสหรัฐ 19% อัตราเดียวกับอินโดนีเซีย, มาเลเซีย, กัมพูชา และฟิลิปปินส์ ขณะที่ประเทศเวียดนาม 20% ถือเป็นสัญญาณที่ดีทำให้ไทยสามารถแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนได้ นอกจากนี้ยังมีความได้เปรียบเวียดนามอีกเล็กน้อย ขณะที่กรณีสินค้า “สวมสิทธิ” หรือ Transshipment ทุกประเทศจะโดนอัตราภาษี 40% เท่ากัน อย่างไรก็ดี ถือเป็นประเด็นสำคัญที่ยังรอความชัดเจนว่า นิยามของสินค้าไทยที่จะเสียภาษี 19% จะต้องมี Local Content สัดส่วนเท่าไหร่ เพื่อที่จะไม่ให้กลายเป็นสินค้าสวมสิทธิจากประเทศจีน
โมเดลเยียวยาภาษีทรัมป์
แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลังเปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า สำหรับแผนการเยียวยาภาคธุรกิจเอกชนที่ได้รับผลกระทบภาษีสหรัฐ จะมีหลายส่วน อาทิ 1.กองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน สำหรับดูแลผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ ที่ต้องการปรับเปลี่ยนกระบวนการทำงานหรือเครื่องจักรให้สามารถแข่งขันได้ โดยล่าสุดรัฐบาลได้เติมเงินให้กับกองทุนเพิ่มอีก 10,000 ล้านบาท

2.วงเงินซอฟต์โลนช่วยเหลือสภาพคล่อง 3.การอุดหนุนภาษีให้กับผู้ประกอบการ ที่ถูกสหรัฐเรียกเก็บภาษีเพิ่มบางส่วนในช่วงเปลี่ยนผ่าน โดยผู้ประกอบการต้องตกลงกับคู่ค้าว่า สามารถรับผลกระทบได้แค่ไหน และจะส่งผ่านไปยังผู้บริโภคแค่ไหน แล้วจึงดูว่าส่วนที่ต้องให้รัฐเข้าไปช่วยดูแลจะอยู่ระดับใด 4.การลดหย่อนภาษี 5.เงินอุดหนุนภาคเกษตร

“ตอนนี้มีเงินหน้าตักที่จะใช้เยียวยาผลกระทบอยู่ 2 แสนล้านบาท มาจากหลายส่วน โดยเฉพาะจากแบงก์รัฐ ทั้งออมสิน เอ็กซิมแบงก์ เอสเอ็มอีแบงก์ รวมถึงธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ทั้งนี้ นโยบายที่ทำไม่เป็นแบบทั่วถึง แต่จะทำในส่วนที่ได้รับผลกระทบจริง ๆ โดยภายในสัปดาห์นี้ กระทรวงการคลังจะมีประชุมร่วมกับ คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เพื่อหาข้อสรุป แล้วจะรีบเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต่อไป”

เติมเงินกองทุน 10,000 ล้าน
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบข้อเสนอโครงการ/รายการกระตุ้นเศรษฐกิจตามแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายใต้กรอบวงเงิน 157,000 ล้านบาท ระยะที่ 2 เพื่อเป็นการเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งจะช่วยยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยให้พร้อมรับมือการแข่งขันทางเศรษฐกิจโลกที่มีความไม่แน่นอนมากขึ้น ซึ่งเป็นผลจากการขึ้นภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ของสหรัฐ และเพื่อพัฒนาทุนมนุษย์ในกลุ่มนักเรียน/นักศึกษา ซึ่งจะเป็นการรองรับความเสี่ยงที่เศรษฐกิจไทยชะลอตัวในปี 2568 และเป็นการวางรากฐานการเติบโตของประเทศในระยะยาว

โดยส่วนหนึ่งมีการจัดสรรวงเงิน 10,000 ล้านบาท ให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำหรับกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการไทยที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ผู้ประกอบการขนาดใหญ่ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีส่วนเพิ่ม (Global Minimum Tax) และผู้ลงทุนเชิงยุทธศาสตร์ขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย

กองทุนเพิ่มขีดฯบีโอไอมี 3 หมื่น ล.
รายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) แจ้งว่า เงินกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันปัจจุบันมีเงินอยู่ 30,000 ล้านบาท เป้าหมายของเงินกองทุน คือ การให้เงินสนับสนุนกับอุตสาหกรรมเป้าหมายที่จะสร้างประโยชน์ให้กับประเทศสูงสุด โดยเฉพาะนำไปใช้จ่ายในการลงทุน การวิจัยและพัฒนา การส่งเสริมนวัตกรรม การพัฒนาบุคลากรเฉพาะด้าน

ขณะที่ก่อนหน้านี้ นายพิชัย ในฐานะหัวหน้าทีมไทยแลนด์ กล่าวถึงมาตรการเยียวยาผลกระทบว่า ระยะถัดไปที่ต้องมีการปรับตัวเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งตรงนี้มีกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน สามารถช่วยดูแลได้อยู่ โดยที่ผ่านมาได้มีการคุยกับสภาหอการค้าฯ กับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ให้ไปช่วยเก็บข้อมูล แยกเป็นรายเซ็กเมนต์แต่ละกลุ่ม ว่าสู้ไม่ได้ตรงไหน ใครต้องการจะสู้ตรงไหน ซึ่งการสู้มี 2 วิธี คือ หนึ่ง ต้องการเงินลงทุนเพื่อปรับปรุงเครื่องจักรให้เป็นดิจิทัล ทำงานเร็วขึ้น และสอง แมตชิ่งธุรกิจ เพื่อให้ธุรกิจไทยเข้ามาเป็นซัพพลายเชนของอุตสาหกรรมต่างชาติมากขึ้น ตามเงื่อนไขเรื่อง Local Content ในการส่งออก

คลังคุมเข้มแหล่งกำเนิดสินค้า
นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง กล่าวว่า ประเด็นการสวมสิทธินั้นได้กำชับให้กรมศุลกากรดำเนินการอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะการตรวจสอบสินค้าขาเข้า ที่อาจมาในรูปแบบกึ่งสำเร็จรูป (Semicomplete) เพื่อหลีกเลี่ยงภาษี หรือแอบอ้างสิทธิประโยชน์ทางภาษีจากแหล่งกำเนิดที่ไม่ถูกต้อง

ทั้งนี้ หากมีความจำเป็น กรมศุลกากรจะลงพื้นที่ตรวจสอบโรงงาน รวมทั้งในเขตปลอดอากร นอกจากนี้ รัฐบาลเตรียมนำข้อตกลงบางส่วนเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา ภายใต้บทบัญญัติมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญ เพื่อให้เกิดการกลั่นกรองอย่างรอบด้าน

เกณฑ์วัตถุดิบในภูมิภาค 50-60%
ขณะที่นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า สินค้าสวมสิทธิยังเป็นข้อกังวลของการค้าระหว่างประเทศ โดยยอมรับว่ายังไม่มีความชัดเจนในหลายประเด็น เช่น สินค้าที่นำเข้ามาในลักษณะเพียงผ่านแดน แล้วถูกติดป้ายแหล่งผลิตใหม่ ซึ่งอาจเข้าข่ายสวมสิทธิ หากไม่ได้มีการแปรรูปหรือเพิ่มมูลค่าอย่างแท้จริง

“อย่างกรณีสินค้าจากประเทศหนึ่ง เข้ามาเปลี่ยนฉลากเป็นอีกประเทศแล้วส่งออก แบบนี้ก็ถือว่าสวมสิทธิแน่ ๆ แต่ถ้าเติม Local Content ไปแค่ 10-20% เพื่อส่งออก แบบนั้นก็ไม่แฟร์”

ปลัดกระทรวงการคลังกล่าวอีกว่า ขณะนี้ไทยยังอยู่ระหว่างหารือกับสหรัฐ เพื่อทำความเข้าใจในกติกาโดยเฉพาะการคำนวณ RVC (Regional Value Content) ซึ่งมีความสำคัญต่อการพิจารณาว่าสินค้าใดจะได้รับสิทธิพิเศษทางภาษี

“ตอนนี้มีตัวเลขคาดกันว่า RVC จะอยู่ที่ 50-60% แต่ยังต้องรอการสรุปข้อตกลงก่อน ซึ่ง RVC ก็คือการนับส่วนประกอบจากประเทศพันธมิตรในภูมิภาคที่อยู่ในข้อตกลงด้วยกัน ไม่ใช่จากแค่ประเทศไทยเท่านั้น” นายลวรณกล่าว

พาณิชย์เดินแก้ระเบียบใหม่
นายฉันทวิชญ์ ตัณฑสิทธิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีไทยถูกสหรัฐเรียกเก็บภาษี 19% ว่า จากนี้ต้องรอสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) ประกาศความตกลงอย่างเป็นทางการ โดยไทยก็ต้องนำเรื่องนี้เข้าที่ประชุมรัฐสภาเพื่อขอความเห็นชอบ ก่อนที่จะลงนามข้อตกลงระหว่างไทยกับสหรัฐต่อไป

โดยประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญและต้องมีการเจรจาหารือ เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยได้รับประโยชน์สูงสุด และสามารถปรับตัวได้โดยไม่เกิดผลกระทบที่รุนแรง เช่น กฎถิ่นกำเนิดสินค้า (Rules of Origin) และการคำนวณสัดส่วนของมูลค่าวัตถุดิบที่ผลิตภายในภูมิภาคที่ใช้ในการผลิตสินค้า หรือ Regional Value Content (RVC)

“กระทรวงพาณิชย์กำลังดำเนินการอย่างเข้มข้น ทั้งการปรับปรุงกฎระเบียบให้สอดคล้องกับมาตรการของสหรัฐและการสนับสนุนผู้ประกอบการในการปรับตัว นอกจากนี้ ยังเดินหน้าหาตลาดใหม่เพื่อสร้างโอกาสการส่งออกเพิ่มขึ้น โดยไม่ละทิ้งตลาดหลักอย่างสหรัฐ”

ขอเวลา 3 ปีปรับ RVC เป็น 60%
นายสุภาพ สุวรรณพิมลกุล รองประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ และโทรคมนาคม เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ประเด็นสำคัญที่ต้องติดตามคือ เรื่องของ RVC (Regional Value Content) หรือสัดส่วนมูลค่าเพิ่มในภูมิภาคการใช้ Local Content โดยยังไม่ชัดเจน แต่หากดูการใช้วัตถุดิบในประเทศเพื่อผลิตและการส่งออก สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารเกษตรไม่น่าจะมีผลกระทบเพราะส่วนใหญ่ใช้วัตถุดิบภายในประเทศถึง 80% ส่วนกลุ่มอุตสาหกรรมผลิตอื่น ๆ อีก 47 กลุ่มอุตสาหกรรม แต่ละกลุ่มมีสัดส่วนการใช้วัตถุดิบในประเทศแตกต่างกัน

เช่น กลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า ใช้วัตถุดิบภายในประเทศประมาณ 30-40% ขึ้นอยู่กับแต่ละบริษัทที่เข้ามาลงทุนและแบรนด์สินค้า ซึ่งมีการใช้วัตถุดิบที่ไม่เหมือนกัน ทั้งนี้ หากมีการตกลงปรับสัดส่วนการใช้วัตถุดิบเป็น 40-60% ภาคเอกชนก็มีการเสนอไปเบื้องต้นว่า ปีแรกให้กำหนดที่ 40% และค่อยปรับเป็น 60% ในระยะ 3 ปี เพื่อให้ผู้ประกอบการปรับปรุงพัฒนาการผลิตและหาช่องทางในการใช้วัตถุดิบได้

นายสุภาพกล่าวว่า หากมีการปรับสัดส่วนในทันที ผู้ผลิตและผู้ส่งออกคงได้รับผลกระทบแน่นอน โดยเฉพาะในเรื่องต้นทุนและราคานำเข้าของวัตถุดิบ ซึ่งแต่ละบริษัทมีการนำเข้าจากแหล่งที่ต่างกัน

เรียกร้องอุ้มโรงงานคนไทย
นายนาวา จันทนสุรคน รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า เรื่องการสวมสิทธิเพื่อส่งออก ทางเอกชนหารือเรื่องนี้มาตลอด จึงเป็นที่มาของการรับรองสินค้าว่า Made in Thailand (MiT) คือ สินค้าที่ผลิตในประเทศไทย มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ที่กำหนด โดยมีการคำนวณมูลค่าตามหลักการ ASEAN Content และต้องมีสัดส่วนมูลค่าวัตถุดิบที่ผลิตในประเทศอย่างน้อย 40% ซึ่งช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับสินค้าไทย และเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการเข้าถึงตลาดจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ

ประเด็นที่สหรัฐจับตาว่าเป็นสินค้าจีนเข้ามาสวมสิทธิ ยอมรับว่ามีบางโรงงานทำที่จีน 9 ขั้นตอน และมาประกอบที่ไทยเพียง 1 ขั้นตอน แล้วส่งออก หรือนำเข้าชิ้นส่วนมาเพื่อประกอบแล้วส่งออก ตรงนี้เอกชนก็ต้องเลือกว่าจะปรับโครงสร้างการผลิตใช้วัตถุดิบในประเทศเพื่อรักษาตลาดไว้ หรือจะยังคงใช้วัตถุดิบจากจีนแบบนั้นยอมเสียตลาดสหรัฐไปซึ่งอาจไม่คุ้ม ขณะที่บางรายอาจปรับตัวได้ แต่บางรายอาจต้องใช้เวลา

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลไทยต้องดูแลโรงงานของคนไทยไม่ได้พึ่งพาการนำเข้าจากจีน ที่ต้องปกป้องธุรกิจตนเอง โดยเสนอให้กระทรวงพาณิชย์จัดอบรมให้ความรู้ผู้ประกอบการในการจัดทำข้อมูลเพื่อให้สามารถตรวจสอบได้ ตั้งแต่เรื่องการจดทะเบียน ตั้งโรงงาน นอกจากนี้ ไทยควรจะต้องใช้กฎหมายตอบโต้สินค้าที่เข้ามาทุ่มตลาด อย่างเช่น กรณีเหล็กจีน ที่เข้ามาทุ่มตลาด

ผู้ผลิตดิ้นปรับซัพพลายเชน
นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการหอการค้าไทย และนายกสมาคมการค้าอาหารอนาคตไทย เปิดเผยกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า สำหรับประเด็นเรื่อง RVC หรือสัดส่วนมูลค่าวัตถุดิบในภูมิภาค เป็นหัวใจสำคัญของกฎแหล่งกำเนิดสินค้า (Rules of Origin) ภายใต้ความตกลงการค้าเสรี (FTA) โดยเฉพาะในยุคที่ห่วงโซ่อุปทานมีความซับซ้อนและกระจายตัวในภูมิภาค เช่น ASEAN-FTA สัดส่วนการใช้วัตถุดิบในภูมิภาคอยู่ที่ประมาณ 40%

ดังนั้น หากสหรัฐกำหนด RVC ที่ 50-60% ก็ถือว่า “สูง” และจะทำให้ไทยต้องปรับตัว ต้องปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทาน หาวิธีทำให้ได้วัตถุดิบหรือชิ้นส่วนที่มีแหล่งกำเนิดในภูมิภาค อาจต้องหันมาใช้ Input ที่ผลิตจากไทย หรือประเทศในกลุ่ม FTA เดียวกัน คำนวณมูลค่าเพิ่มจากภูมิภาคให้แม่นยำ

นอกจากนี้ สินค้าหลายชนิดอาจไม่เคยมีการวิเคราะห์ต้นทุนโดยละเอียดมาก่อน โดยเฉพาะกลุ่มที่ยังพึ่งพาวัตถุดิบจากประเทศที่ไม่ได้อยู่ในข้อตกลง ต้องมีการให้ความรู้ การเข้าถึงทุน สนับสนุนด้านเทคนิค

นายวิศิษฐ์กล่าวว่า สำหรับอุตสาหกรรมที่ใช้วัตถุดิบในภูมิภาคอยู่แล้ว หรือปรับตัวได้ดี คือ อุตสาหกรรมอาหารแปรรูป เช่น อาหารทะเลแปรรูป ผลไม้กระป๋อง ฯลฯ ที่ใช้แหล่งวัตถุดิบจากอาเซียนเป็นหลัก ขณะที่กลุ่มยานยนต์และชิ้นส่วน ไทยเป็นศูนย์กลางของซัพพลายเชนในอาเซียน หากมี RVC 50% อาจกระทบก็จริง แต่ถ้าวางแผนดี ๆ หลายสินค้ายังพอไปได้ ตัวอย่างเช่น สินค้าสิ่งทอ เครื่องนุ่งห่ม ถ้าใช้วัตถุดิบจากเวียดนาม อินโดนีเซีย หรือไทยเอง จะนำมาคำนวณได้

6 สิงหาฯ กกร.ประชุมรับมือ
นายวิศิษฐ์กล่าวว่า ในวันที่ 6 สิงหาคมนี้ คณะกรรมการร่วม 3 สถาบัน (กกร.) ที่จะมีการประชุมหารือและวิเคราะห์ความเสี่ยงรายอุตสาหกรรมสินค้าไทยที่พึ่งพาการส่งออกไปยังสหรัฐ สูง เช่น อิเล็กทรอนิกส์ ยางพารา เครื่องใช้ไฟฟ้า อาหารแปรรูป ประเมินผลกระทบทางต้นทุนจากการเปลี่ยนแปลง RVC หรือกฎถิ่นกำเนิดสินค้าที่เข้มขึ้น พร้อมสร้างแนวร่วมจากเอกชนสหรัฐที่มีฐานการผลิตในไทย และพันธมิตรด้านการค้าในสหรัฐ ให้ช่วยนำเสนอฝ่ายนโยบายของตนเอง

รวมถึงหารือถึงแนวทางเยียวยากลุ่มที่ได้รับผลกระทบสำหรับผู้ผลิต ผู้ส่งออกในการขอรับมาตรการสนับสนุนการเข้าถึงสินเชื่อ/เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ เงินทุนหมุนเวียน จากรัฐในช่วงปรับโครงสร้างการผลิต วิเคราะห์แหล่งวัตถุดิบของสินค้าแต่ละกลุ่ม หรือการเพิ่ม RVC สำหรับอุตสาหกรรมเฉพาะทาง เช่น ยางพารา อิเล็กทรอนิกส์ อาหารกระป๋อง จะมีการเร่งจับคู่พันธมิตร Matching เพิ่มเติมในแต่ละกลุ่มประเทศ รัฐอาจใช้มาตรการสั่งซื้อของภาครัฐสำหรับบางสินค้า เพื่อดูดซับผลผลิตในช่วงการส่งออกชะลอตัว

ส.อ.ท.ชี้ถึงเวลาต้องปรับ RVC
นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ที่ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง RVC หรือ Local Content ก็คือการควบคุมเรื่องการนำเข้าวัตถุดิบ เพราะสหรัฐโฟกัสเรื่องนี้มาก แต่ก็ต้องเคลียร์ให้ชัดถึงข้อตกลงกับสหรัฐว่าเป็นอย่าางไร อย่างไรก็ดี อุตสาหกรรมรถยนต์ในอดีต กว่าจะเพิ่มสัดส่วน Local Content ให้สูงถึง 90% ต้องใช้เวลามากกว่า 20 ปี แต่สุดท้ายก็ต้องทำ เพราะเป็นทั้งกฎหมายและสัญญาที่ต้องทำ เช่นเดียวกันกับตอนนี้อุตสาหกรรมใหม่ ๆ ที่ยังไม่มีวัตถุดิบในประเทศ ในที่สุดก็ต้องปรับให้มีสัดส่วนเพิ่มขึ้น เพียงแค่ตอนนี้ไทยโดนบีบจากสหรัฐให้ต้องปรับตัวเร็วขึ้น

3,000 บริษัทเข้าข่าย “สวมสิทธิ”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บทวิเคราะห์เรื่อง Import Influx Trap กับดักเศรษฐกิจไทยในยุคพึ่งพานำเข้าสูง ของศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ SCB EIC ระบุว่า สินค้านำเข้ากำลังก้าวขึ้นมามีบทบาททดแทนสินค้าที่ผลิตภายในประเทศ ทั้งในแง่การบริโภคและการส่งออก อีกทั้งยังพบสัญญาณที่อาจบ่งชี้ได้ว่า ธุรกิจภาคอุตสาหกรรมของไทยเกือบ 3,000 แห่ง อาจกำลังดำเนินธุรกิจในลักษณะที่เน้นการซื้อมา-ขายไป ซึ่งมีความเสี่ยงว่าบางส่วนเข้าข่ายกิจกรรม “สวมสิทธb” แหล่งกำเนิดสินค้า อาจไม่มีกระบวนการผลิตจริง หรือแม้จะมีการผลิตก็เป็นเพียงการแปรรูปขั้นต้นเพียงเล็กน้อย

โดยธุรกิจที่เข้าข่ายในลักษณะนี้มีมูลค่ารวมกันถึง 1.04 ล้านล้านบาท ในปี 2023 หรือประมาณ 5% ของขนาดตลาดในภาคอุตสาหกรรมของไทย โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมแผงวงจร, ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์, ชิ้นส่วนยานยนต์, พลาสติก, อะลูมิเนียม และเครื่องใช้ไฟฟ้า

ทั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ข้อมูลระดับมหภาค จากมูลค่าการส่งออก ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม และข้อมูลระดับจุลภาคจากฐานข้อมูลงบการเงินของบริษัทจดทะเบียนกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD) ซึ่งครอบคลุมประมาณ 150,000 กิจการในภาคการผลิตทั่วประเทศ
แหล่งที่มา : ประชาชาติธุรกิจ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

The information in the above report, publication and website has been obtained from sources believed to be reliable. However, Iron & Steel Institute of Thailand does not guarantee the accuracy, adequacy or completeness of the information. Any opinions or forecasts regarding future events may differ from actual events or results. In addition, Iron & Steel Institute of Thailand reserves the right to make changes and corrections to the information, including any opinions or forecasts, at any time without notice.