ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เผยภาวะเศรษฐกิจไทยในเดือนม.ค. 68 ปรับดีขึ้นจากเดือนก่อน ตามภาคการท่องเที่ยวที่ปรับดีขึ้นต่อเนื่อง ทั้งจำนวนและรายรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ด้านการบริโภคภาคเอกชนปรับเพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งได้รับผลดีจากมาตรการภาครัฐ สอดคล้องกับกิจกรรมการค้า การผลิตภาคอุตสาหกรรม และการลงทุนภาคเอกชน ประกอบกับการส่งออกสินค้าเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน
แต่ยังกระจุกตัวแค่บางหมวด สำหรับการใช้จ่ายภาครัฐขยายตัวต่อเนื่องจากทั้งรายจ่ายลงทุนและรายจ่ายประจำ
ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนตามหมวดอาหารสดเป็นหลัก ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเพิ่มขึ้นเล็กน้อยตามราคาอาหารสำเร็จรูป
สำหรับภาวะตลาดแรงงานโดยรวมทรงตัวจากเดือนก่อน ผู้ขอรับสิทธิว่างงานเพิ่มขึ้น สะท้อนการหางานที่ลำบากขึ้น หรือการออกไปประกอบอาชีพอื่น ซึ่งธปท.ยังคงต้องติดตามการจ้างงานในบางสาขา อาทิ ภาคก่อสร้าง และภาคการผลิต โดยเฉพาะการผลิตยานยนต์
ด้านดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลลดลงจากเดือนก่อน จากดุลการค้าที่ปรับลดลง ตามการนำเข้าสินค้าที่เร่งขึ้น ขณะที่ดุลบริการ รายได้ และเงินโอนเกินดุลเพิ่มขึ้นจากดุลรายรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นสำคัญ
น.ส.ชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้ช่วยผู้ว่าการสายองค์กรสัมพันธ์ และโฆษกธปท. กล่าวว่า อัตราแลกเปลี่ยนในเดือน ม.ค.68 ปรับอ่อนค่าตามความกังวลของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ หลังนายโดนัลด์ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี อย่างไรก็ดี เงินบาทในเดือนก.พ.ปรับแข็งค่าขึ้น โดยดัชนีเทียบคู่ค้าคู่แข่ง (NEER) ในเดือนม.ค.-ก.พ.ปรับแข็งค่าขึ้น
สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจในระยะต่อไป กิจกรรมทางเศรษฐกิจยังมีแรงส่งจากภาคท่องเที่ยวและบริการ อย่างไรก็ดีการส่งออกสินค้าและการผลิตภาคอุตสาหกรรมยังคงได้รับแรงกดดันจากปัจจัยเชิงโครงสร้างและการแข่งขันที่สูงขึ้น รวมถึงนโยบายการค้าที่มีความไม่แน่นอน ส่งผลต่อการฟื้นตัวของรายรับธุรกิจและรายได้ครัวเรือนกลุ่มเปราะบาง
ซึ่งยังคงต้องติดตามพัฒนาการของภาคการผลิต, ผลกระทบจากนโยบายการค้าของประเทศเศรษฐกิจหลัก และ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ
“มองไปข้างหน้าเรายังต้องติดตามนโยบายการค้า พัฒนาการภาคผลิต มาตรการกระตุ้นเศษฐกิจของภาครัฐ การจ้างงานโดยรวมทรงตัว แต่ยังต้องติดตามการจ้างงานโดยเฉพาะภาคก่อสร้างและภาคการผลิต”
ทั้งนี้ ธปท.จะมีการปรับปรุงเครื่องชี้เศรษฐกิจรายเดือน 3 ตัว ได้แก่ ดัชนีผลผลิตภาคบริการ (SPI) ดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน (PCI) และดัชนีภาคลงทุนของภาคเอกชน (PII) โดยเพิ่มความครอบคลุมของดัชนี เปลี่ยนโครงการน้ำหนักอ้างอิงให้สะท้อนกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เป็นปัจจุบันมากขึ้น
