สรท.ชี้ ทรัมป์ 2.0 ระเบิดเวลาส่งออกไทย คาดไตรมาส 2 กระทบแน่

05 มีนาคม 2568
สรท.ชี้ ทรัมป์ 2.0 ระเบิดเวลาส่งออกไทย คาดไตรมาส 2 กระทบแน่
สรท.ชี้ ส่งออกเดือนม.ค.ขยายตัว 13.6 % แค่ภาพลวงตา คาดไตรมาสแรกขยายตัว 7-8 % จากการเร่งส่งออกไปสหรัฐ ขณะที่ไตรมาส 2 ประเมินยาก ยังเป็นระเบิดเวลาผู้ส่งออกไทย เหตุไม่รู้โจทย์ทรัมป์ 2.0 ที่แน่นอน แนะปรับตัว มองหาตลาดรองรับ เร่งรัฐเจรจาเอฟทีเอ พร้อมใช้ประโยชน์จากอาร์เซ็ป

นายชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) เปิดเผยว่า การส่งออกเดือน ม.ค. มูลค่า 25,277 ล้านดอลลาร์ ขยายตัวถึง 13.6 %  ถือเป็นว่าดี แต่ผู้ส่งออกไม่ได้ดีใจมาก  เพราะพิจารณาจากการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร ซึ่งเป็นสินค้าหลักของไทย เดือนม.ค.ขยายตัวเพียง 0.1 % แม้ไม่มากแต่ก็มีนัยสำคัญ  โดยสินค้าที่เป็นแรงสนับสนุนให้การส่งออกเดือนม.ค.ขยายตัวสูง คือ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ขยายตัวสูง 17 % เครื่องใช้ไฟฟ้า 10 % โดยทั้ง 2 ตัวนี้เร่งส่งออกไปยังสหรัฐตั้งแต่ช่วงปลายปี เพื่อหลีกเลี่ยงการขึ้นภาษีของสหรัฐ

ยอดส่งออกเดือนม.ค.เป็นเพียงภาพลวงตา เพราะเศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจไทยไม่ได้แข็งแกร่งอย่างที่เห็น โดยภาคการผลิตที่ยังไม่ฟื้นดูจากดัชนีภาคการผลิตที่ฟื้นตัวเล็กน้อย  เช่น  จีน  เวียดนาม  บางประเทศที่ดัชนีภาคการผลิตขยายตัวอย่างต่อเนื่องเป็นผลมาจากการเร่งส่งออกไปยังสหรัฐที่เพิ่มขึ้นก่อนการบังคับใช้มาตรการภาษี ราคาน้ำมันมีแนวโน้มลดลงเพราะความต้องการใช้น้อยลง ค่าระวางเรือมีแนวโน้มลดลง  ซึ่งการส่งออกลดลง

ในปี 67 ไทยเกินดุลการค้ากับสหรัฐ 35,000 ล้านดอลลาร์ แต่ขาดดุลการค้ากับจีนมากถึง 45,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นสัญญาณให้มีการทบทวนกฎระเบียบเกี่ยวกับการส่งออกและนำเข้า ดังนั้นเราคงจะดูเฉพาะยอดส่งออกเพียงอย่างเดียวไม่ได้ ต้องลงลึกไปในรายละเอียดด้วย

“สิ่งที่เห็น คือไฟไหม้นอกบ้านอยู่แล้ว รู้อย่างไรว่าจะไม่ลามถึงบ้านเรา  ซึ่งเราต้องเตรียมมาตรการรับมือ ทั้งนี้สงครามการค้าจะเต็มรูปแบบจากนี้ไปซึ่งจะเป็นระเบิดเวลาส่งออกไทย”นายชัยชาญ กล่าว

นายชัยชาญ กล่าวว่า  สำหรับไตรมาสแรก สรท.ยังมั่นใจว่า การส่งออกของไทยจะขยายตัว  7-8 % โดยการส่งออกเฉลี่ยต่อเดือนอยู่ที่ 25,000 ล้านดอลลาร์  แม้ขณะนี้ทรัมป์ 2.0 จะมีผลเริ่มเก็บภาษีสินค้านำเข้ากับแคนาดา เม็กซิโก รวมไปถึงจีนที่ขึ้นไปแล้วก็ตาม อย่างไรก็ตามไทยไม่สามารถที่จะจะหลีกเลี่ยงผลกระทบจากเรื่องกำแพงภาษี เพราะการปรับขึ้นภาษีของสหรัฐไม่ได้จำกัดเฉพาะประเทศเม็กซิโก แคนาดา และจีนเท่านั้น อีกทั้งยังเกิดผลกระทบต่อสินค้าบางชนิด เช่น เหล็ก ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาหามาตรการรองรับผลกระทบดังกล่าว

ขณะที่การส่งออกในไตรมาส 2 จะเป็นต้องจับตาอย่างใกล้ชิด เพราะการปรับขึ้นภาษีของทรัมป์จะเห็นผลชัดเจนต่อการส่งออกไทย โดยทางตรงอาจไม่มาก แต่ทางอ้อมจะกระทบหนัก โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าสำคัญเช่นเหล็กและอลูมิเนียม โดยจะมีผลต่อห่วงโซ่ซัพพลายเชนที่ใช้เหล็กและอลูมิเนียมเป็นส่วนประกอบในการผลิต โดยเฉพาะอย่างเช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า รถยนต์ ก่อสร้าง อุปกรณ์และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น

นอกจากนี้เมื่อแคนาดาและเม็กซิโก จีน ส่งออกไปสหรัฐไม่ได้ ก็ต้องหาตลาดใหม่ทดแทน อีกทั้งจะเกิดซัพพลายดีสรัปชั่น  รวมไปถึงการลดราคาสินค้าเพื่อความอยู่รอดทำให้เกิดการแข่งขันสูง ผู้ส่งออกที่สายป่านยาวก็จะอยู่รอดได้

“เพียงแค่ 1 เดือนที่ทรัมป์ปรับขึ้นภาษีก็โกลาหลไปทั่วโลก วันนี้สงครามการค้ามี 2 มิติ คือ ตัวประเทศที่ถูกขึ้นภาษีโดยตรงและตัวสินค้า ซึ่งการประเมินผลกระทบจากการขึ้นภาษีของทรัมป์ในไตรมาส 2 เป็นเรื่องยาก เพราะโจทย์ยังไม่รู้ อีกทั้งต้องติดตามในช่วงเดือนเม.ย.นี้ด้วยว่า สหรัฐจะประกาศมีการขึ้นภาษีสินค้าใด กับประเทศไหน สิ่งที่ทำได้ขณะนี้คือ การปรับตัวและรับมือกับสงครามการค้า”นายชัยชาญ กล่าว

นายชัยชาญ กล่าวว่า ทั้งนี้ สรท. ยังคงเป้าส่งออกปี  68 เติบโตที่  13 % โดยมีมูลค่า 305,000 ล้านดอลลาร์ โดยมีปัจจัยเสี่ยงและความผันผวนเสมือนระเบิดเวลาที่จะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทย ในประเด็นสำคัญ ได้แก่

1. การส่งเสริมการลงทุนในประเทศ (FDI) เพิ่มขึ้น ดุลการค้าเพิ่ม แต่สัดส่วนการใช้ Local Content น้อย ประกอบกับมีความเสี่ยงที่จะถูกสหรัฐฯ ใช้มาตรการทางภาษีกดดันจากการส่งออกกลุ่มสินค้าดังกล่าวเพิ่มมากขึ้นจนเกินดุลการค้า ผลกระทบจึงตกไปยังผู้ประกอบการในประเทศทั้งต้นน้ำจนถึงปลายน้ำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

2.สินค้าจีนทะลัก ขาดระบบควบคุม (Overcapacity) จากมาตรการทางภาษีของสหรัฐฯ เพื่อกีดกันสินค้าและลดการเกินดุลการค้ากับจีน ส่งผลให้สินค้าจำนวนมากที่ไม่ได้ส่งออกไปยังสหรัฐฯ ถูกกระจายมายังภูมิภาคอาเซียนรวมถึงไทยเป็นแหล่งรองรับสินค้า ส่งผลให้ SME ไทยแข่งขันด้านราคาไม่ได้และอาจต้องปิดกิจการ รวมถึงทำให้ไทยขาดดุลการค้ากับจีนมากขึ้น

3.Soft Loan เข้าถึงยาก ผู้ประกอบการขาดสภาพคล่องและไม่สามารถยกระดับ พัฒนาอุตสาหกรรมให้ทันกับทิศทางเศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนแปลง ทำให้การลงทุนและการเติบโตในทางธุรกิจทำได้ช้า

4. การผลิตสินค้าล้าสมัย รับจ้างผลิต ขาดเอกลักษณ์ของตนเอง อุตสาหกรรมของไทยยังพึ่งพาการผลิตสินค้ารูปแบบ รับจ้างผลิต (OEM) ขาดงบประมาณสนับสนุนด้าน R&D ส่งเสริมการสร้างแบรนด์อัตลักษณ์ของคนไทยอย่างจริงงจัง ทำให้มีความเสี่ยงสูงจากการพึ่งพารูปแบบ OEM มากเกินไป

5.Skill labour ไม่ปรับตัว ไทยยังขาดแรงงานที่มีฝีมือในอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม ทำให้ไทยเสียโอกาสในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ ประกอบกับแรงงานขาดแรงจูงใจในการเรียนรู้เทคโนโลยีและทักษะดิจิทัล ทำให้ปรับตัวไม่ทันสำหรับการเปลี่ยนแปลง ทักษะไม่ตรงกับความต้องการภาคการผลิต

6.ขาด SINGLE POLICY อุตสาหกรรมไทยและภาคการผลิตขาดทิศทางที่ชัดเจนในการขับเคลื่อน ทำให้ขาดประสิทธิภาพแม้มีแนวทางในการพัฒนาเศรษฐกิจมากมาย เช่น Thailand 4.0, BCG Economy และ EEC แต่ไม่มีนโยบาที่เป็นแกนหลัก (Pivot policy) ที่ทุกภาคส่วนต้องปฏิบัติตามอย่างเป็นระบบ

ทั้งนี้ สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย มีข้อเสนอแนะที่สำคัญ ดังนี้ ผู้ส่งออกไทยที่ทำการค้ากับสหรัฐฯ ควรมีแผนรองรับความเสี่ยง (Derisking) อาทิ มองหาตลาดอื่นทดแทนเพื่อกระจายสินค้า  หารือผู้นำเข้า ฑูตพาณิชย์ อย่างต่อเนื่องเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและเตรียมการรับมือร่วมกัน

เร่งใช้ประโยชน์จากกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่มีอยู่และใช้ประโยชน์จากความตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) ที่มีอยู่ให้เต็มที่ เช่น กรอบ RCEP รวมถึงเร่งเจรจา FTA Thai – EU และ ASEAN – Canada ให้บรรลุผลโดยเร็ว


แหล่งที่มา : กรุงเทพธุรกิจ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

The information in the above report, publication and website has been obtained from sources believed to be reliable. However, Iron & Steel Institute of Thailand does not guarantee the accuracy, adequacy or completeness of the information. Any opinions or forecasts regarding future events may differ from actual events or results. In addition, Iron & Steel Institute of Thailand reserves the right to make changes and corrections to the information, including any opinions or forecasts, at any time without notice.