นายชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) เปิดเผยว่า การส่งออกเดือน ม.ค. มูลค่า 25,277 ล้านดอลลาร์ ขยายตัวถึง 13.6 % ถือเป็นว่าดี แต่ผู้ส่งออกไม่ได้ดีใจมาก เพราะพิจารณาจากการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร ซึ่งเป็นสินค้าหลักของไทย เดือนม.ค.ขยายตัวเพียง 0.1 % แม้ไม่มากแต่ก็มีนัยสำคัญ โดยสินค้าที่เป็นแรงสนับสนุนให้การส่งออกเดือนม.ค.ขยายตัวสูง คือ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ขยายตัวสูง 17 % เครื่องใช้ไฟฟ้า 10 % โดยทั้ง 2 ตัวนี้เร่งส่งออกไปยังสหรัฐตั้งแต่ช่วงปลายปี เพื่อหลีกเลี่ยงการขึ้นภาษีของสหรัฐ
ยอดส่งออกเดือนม.ค.เป็นเพียงภาพลวงตา เพราะเศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจไทยไม่ได้แข็งแกร่งอย่างที่เห็น โดยภาคการผลิตที่ยังไม่ฟื้นดูจากดัชนีภาคการผลิตที่ฟื้นตัวเล็กน้อย เช่น จีน เวียดนาม บางประเทศที่ดัชนีภาคการผลิตขยายตัวอย่างต่อเนื่องเป็นผลมาจากการเร่งส่งออกไปยังสหรัฐที่เพิ่มขึ้นก่อนการบังคับใช้มาตรการภาษี ราคาน้ำมันมีแนวโน้มลดลงเพราะความต้องการใช้น้อยลง ค่าระวางเรือมีแนวโน้มลดลง ซึ่งการส่งออกลดลง
ในปี 67 ไทยเกินดุลการค้ากับสหรัฐ 35,000 ล้านดอลลาร์ แต่ขาดดุลการค้ากับจีนมากถึง 45,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นสัญญาณให้มีการทบทวนกฎระเบียบเกี่ยวกับการส่งออกและนำเข้า ดังนั้นเราคงจะดูเฉพาะยอดส่งออกเพียงอย่างเดียวไม่ได้ ต้องลงลึกไปในรายละเอียดด้วย
“สิ่งที่เห็น คือไฟไหม้นอกบ้านอยู่แล้ว รู้อย่างไรว่าจะไม่ลามถึงบ้านเรา ซึ่งเราต้องเตรียมมาตรการรับมือ ทั้งนี้สงครามการค้าจะเต็มรูปแบบจากนี้ไปซึ่งจะเป็นระเบิดเวลาส่งออกไทย”นายชัยชาญ กล่าว
นายชัยชาญ กล่าวว่า สำหรับไตรมาสแรก สรท.ยังมั่นใจว่า การส่งออกของไทยจะขยายตัว 7-8 % โดยการส่งออกเฉลี่ยต่อเดือนอยู่ที่ 25,000 ล้านดอลลาร์ แม้ขณะนี้ทรัมป์ 2.0 จะมีผลเริ่มเก็บภาษีสินค้านำเข้ากับแคนาดา เม็กซิโก รวมไปถึงจีนที่ขึ้นไปแล้วก็ตาม อย่างไรก็ตามไทยไม่สามารถที่จะจะหลีกเลี่ยงผลกระทบจากเรื่องกำแพงภาษี เพราะการปรับขึ้นภาษีของสหรัฐไม่ได้จำกัดเฉพาะประเทศเม็กซิโก แคนาดา และจีนเท่านั้น อีกทั้งยังเกิดผลกระทบต่อสินค้าบางชนิด เช่น เหล็ก ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาหามาตรการรองรับผลกระทบดังกล่าว
ขณะที่การส่งออกในไตรมาส 2 จะเป็นต้องจับตาอย่างใกล้ชิด เพราะการปรับขึ้นภาษีของทรัมป์จะเห็นผลชัดเจนต่อการส่งออกไทย โดยทางตรงอาจไม่มาก แต่ทางอ้อมจะกระทบหนัก โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าสำคัญเช่นเหล็กและอลูมิเนียม โดยจะมีผลต่อห่วงโซ่ซัพพลายเชนที่ใช้เหล็กและอลูมิเนียมเป็นส่วนประกอบในการผลิต โดยเฉพาะอย่างเช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า รถยนต์ ก่อสร้าง อุปกรณ์และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น
นอกจากนี้เมื่อแคนาดาและเม็กซิโก จีน ส่งออกไปสหรัฐไม่ได้ ก็ต้องหาตลาดใหม่ทดแทน อีกทั้งจะเกิดซัพพลายดีสรัปชั่น รวมไปถึงการลดราคาสินค้าเพื่อความอยู่รอดทำให้เกิดการแข่งขันสูง ผู้ส่งออกที่สายป่านยาวก็จะอยู่รอดได้
“เพียงแค่ 1 เดือนที่ทรัมป์ปรับขึ้นภาษีก็โกลาหลไปทั่วโลก วันนี้สงครามการค้ามี 2 มิติ คือ ตัวประเทศที่ถูกขึ้นภาษีโดยตรงและตัวสินค้า ซึ่งการประเมินผลกระทบจากการขึ้นภาษีของทรัมป์ในไตรมาส 2 เป็นเรื่องยาก เพราะโจทย์ยังไม่รู้ อีกทั้งต้องติดตามในช่วงเดือนเม.ย.นี้ด้วยว่า สหรัฐจะประกาศมีการขึ้นภาษีสินค้าใด กับประเทศไหน สิ่งที่ทำได้ขณะนี้คือ การปรับตัวและรับมือกับสงครามการค้า”นายชัยชาญ กล่าว
นายชัยชาญ กล่าวว่า ทั้งนี้ สรท. ยังคงเป้าส่งออกปี 68 เติบโตที่ 13 % โดยมีมูลค่า 305,000 ล้านดอลลาร์ โดยมีปัจจัยเสี่ยงและความผันผวนเสมือนระเบิดเวลาที่จะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทย ในประเด็นสำคัญ ได้แก่
1. การส่งเสริมการลงทุนในประเทศ (FDI) เพิ่มขึ้น ดุลการค้าเพิ่ม แต่สัดส่วนการใช้ Local Content น้อย ประกอบกับมีความเสี่ยงที่จะถูกสหรัฐฯ ใช้มาตรการทางภาษีกดดันจากการส่งออกกลุ่มสินค้าดังกล่าวเพิ่มมากขึ้นจนเกินดุลการค้า ผลกระทบจึงตกไปยังผู้ประกอบการในประเทศทั้งต้นน้ำจนถึงปลายน้ำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
2.สินค้าจีนทะลัก ขาดระบบควบคุม (Overcapacity) จากมาตรการทางภาษีของสหรัฐฯ เพื่อกีดกันสินค้าและลดการเกินดุลการค้ากับจีน ส่งผลให้สินค้าจำนวนมากที่ไม่ได้ส่งออกไปยังสหรัฐฯ ถูกกระจายมายังภูมิภาคอาเซียนรวมถึงไทยเป็นแหล่งรองรับสินค้า ส่งผลให้ SME ไทยแข่งขันด้านราคาไม่ได้และอาจต้องปิดกิจการ รวมถึงทำให้ไทยขาดดุลการค้ากับจีนมากขึ้น
3.Soft Loan เข้าถึงยาก ผู้ประกอบการขาดสภาพคล่องและไม่สามารถยกระดับ พัฒนาอุตสาหกรรมให้ทันกับทิศทางเศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนแปลง ทำให้การลงทุนและการเติบโตในทางธุรกิจทำได้ช้า
4. การผลิตสินค้าล้าสมัย รับจ้างผลิต ขาดเอกลักษณ์ของตนเอง อุตสาหกรรมของไทยยังพึ่งพาการผลิตสินค้ารูปแบบ รับจ้างผลิต (OEM) ขาดงบประมาณสนับสนุนด้าน R&D ส่งเสริมการสร้างแบรนด์อัตลักษณ์ของคนไทยอย่างจริงงจัง ทำให้มีความเสี่ยงสูงจากการพึ่งพารูปแบบ OEM มากเกินไป
5.Skill labour ไม่ปรับตัว ไทยยังขาดแรงงานที่มีฝีมือในอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม ทำให้ไทยเสียโอกาสในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ ประกอบกับแรงงานขาดแรงจูงใจในการเรียนรู้เทคโนโลยีและทักษะดิจิทัล ทำให้ปรับตัวไม่ทันสำหรับการเปลี่ยนแปลง ทักษะไม่ตรงกับความต้องการภาคการผลิต
6.ขาด SINGLE POLICY อุตสาหกรรมไทยและภาคการผลิตขาดทิศทางที่ชัดเจนในการขับเคลื่อน ทำให้ขาดประสิทธิภาพแม้มีแนวทางในการพัฒนาเศรษฐกิจมากมาย เช่น Thailand 4.0, BCG Economy และ EEC แต่ไม่มีนโยบาที่เป็นแกนหลัก (Pivot policy) ที่ทุกภาคส่วนต้องปฏิบัติตามอย่างเป็นระบบ
ทั้งนี้ สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย มีข้อเสนอแนะที่สำคัญ ดังนี้ ผู้ส่งออกไทยที่ทำการค้ากับสหรัฐฯ ควรมีแผนรองรับความเสี่ยง (Derisking) อาทิ มองหาตลาดอื่นทดแทนเพื่อกระจายสินค้า หารือผู้นำเข้า ฑูตพาณิชย์ อย่างต่อเนื่องเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและเตรียมการรับมือร่วมกัน
เร่งใช้ประโยชน์จากกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่มีอยู่และใช้ประโยชน์จากความตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) ที่มีอยู่ให้เต็มที่ เช่น กรอบ RCEP รวมถึงเร่งเจรจา FTA Thai – EU และ ASEAN – Canada ให้บรรลุผลโดยเร็ว