“การเปลี่ยนกระบวนการผลิตเหล็กจากเตา blast furnace และเส้นทางการแปรรูปเป็น EAF จะเป็นแนวโน้มระยะยาวในเส้นทางไปสู่ความเป็นกลางของคาร์บอน (carbon neutrality) ของจีน เนื่องจากเตา EAF ที่ใช้เศษเหล็กเป็นส่วนใหญ่มีการปล่อยคาร์บอนต่ำกว่ามาก และเทคโนโลยีการผลิตเหล็กคาร์บอนต่ำหรือไม่มีคาร์บอนอื่น ๆ ยังไม่มี” แหล่งข่าวกล่าว
ในขณะที่ผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ เช่น ผู้ผลิตเหล็กทรงแบน จะยังคงมุ่งเน้นต่อไปที่เตา blast furnaceและแนวทางแปรรูป สำหรับโรงงานขนาดเล็ก โดยเฉพาะผู้ผลิตเหล็กทรงยาว คาดว่าจะค่อยๆ เปลี่ยนไปใช้เตา EAFs แหล่งข่าวกล่าว
จีนวางแผนที่จะเพิ่มผลผลิตจากเตา EAF ให้คิดเป็น 15%-20% ของผลผลิตเหล็กดิบ (crude steel) ทั้งหมดภายในปี 2025 ในที่สุด 50% ของกำลังการผลิตเหล็กดิบทั้งหมดของจีนอาจมาจาก EAF เพื่อลดการปล่อยคาร์บอน แหล่งข่าวบางแหล่งกล่าว
จีนให้คำมั่นที่จะปล่อยคาร์บอนให้เป็นกลางทางคาร์บอน (carbon neutral) ภายในปี 2060 และวางแผนที่จะลดการปล่อยคาร์บอนสูงสุด (peak carbon emissions) ภายในปี 2030
อุตสาหกรรมเหล็กของจีนซึ่งคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 15% ของการปล่อยคาร์บอนทั่วประเทศ คาดว่าจะเดินหน้าไปสู่ความเป็นกลางของคาร์บอนได้เร็วขึ้น
ตามรายงานของสมาคมการใช้เศษโลหะของจีน (China Association of Metal scrap Utilization) เหล็กดิบของจีนที่ผลิตโดยเตา EAF ในช่วงเดือนมกราคมถึงพฤศจิกายน 2021 คิดเป็น 10.86% ของผลผลิตเหล็กดิบทั้งหมดของประเทศ หรือ 102.77 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 10.12% ในช่วงเวลาเดียวกัน ปี 2020.
การเปลี่ยนจากการใช้เตา blast furnace และเปลี่ยนแปลงไปสู่เส้นทางเป็นเตา EAF นั้นคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเมื่อผู้ผลิตเหล็กเริ่มมีค่าใช้จ่ายในการปล่อยคาร์บอน (carbon emission charges)
ในขณะที่ระยะเวลาที่อุตสาหกรรมเหล็กจะเริ่มจ่ายสำหรับการปล่อยก๊าซคาร์บอนยังไม่ชัดเจนจนถึงขณะนี้ แหล่งข่าวภาคอุตสาหกรรมบางแห่งคาดว่า สิ่งนี้อาจเกิดขึ้นภายในทศวรรษหน้า
อ้างถึงรายงานของ Baowu Group หากราคาคาร์บอนของจีนเพิ่มขึ้นเป็น 60 ยูโรต่อตัน ($71/ตัน) และการค้าคาร์บอนถูกกำหนดอย่างกว้างขวางในอุตสาหกรรมเหล็ก ผู้ผลิตในจีนจะเห็นต้นทุนการผลิตเหล็กแผ่นรีดร้อนที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วถึง 40% ผ่านการใช้เตา blast furnace และจะมีการเปลี่ยนแปลงแนวทางการผลิตต่อไป
-- Steel Business Briefing