ความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครน ส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิต และการขนส่งของ Supply Chain ทั่วโลก รวมถึงราคาสินค้าเหล็กที่สูงขึ้นมากในช่วงปลายไตรมาสแรก ตามต้นทุนวัตถุดิบและพลังงาน ขณะที่เศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวต่ำและช้ากว่าที่คาดหมายไว้เดิม
นอกจากนี้ภาวะเงินเฟ้อส่งผลให้กำลังซื้อของภาคเอกชนไม่ดี เป็นผลให้ความต้องการใช้เหล็กของโลกและของประเทศไทย ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2565 ลดลง
ต่อเรื่องนี้ นายนาวา จันทนสุรคน ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)ให้สัมภาษณ์พิเศษ “ฐานเศรษฐกิจ”ถึงความเคลื่อนไหวดังกล่าว โดยเฉพาะในครึ่งหลังของปี 2565 ที่เขามองว่าน่าจะเป็นปีแห่งความผันผวนและไม่แน่นอนสำหรับธุรกิจเหล็ก รวมถึงข้อกังวลกรณีเหล็กจากจีนที่อาจกลับมาทุ่มตลาดเหล็กในไทยและในอาเซียนอีกครั้งก็อาจเป็นไปได้ ขณะที่การใช้กำลังการผลิต ในประเทศยังอยู่ในภาวะต่ำมาก
มองการเคลื่อนไหวครึ่งปีหลัง
ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก ส.อ.ท.ประเมินภาพอุตสาหกรรมเหล็กครึ่งปีหลังปี 2565 ว่า ราคาเหล็กในตลาดโลกจะขึ้นลงตามปัจจัยหลัก คือ ต้นทุนวัตถุดิบ ได้แก่ สินแร่เหล็ก เศษเหล็ก และต้นทุนของพลังงานที่ใช้ทั้งถ่านหิน น้ำมัน แก๊ส ไฟฟ้า รวมถึงต้นทุนค่าขนส่ง โดยปัจจัยหลักเหล่านี้มีความผันผวนมากในปี 2565 จากภาวะสงครามความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครน เพราะทั้งสองประเทศนี้รวมกัน เป็นแหล่งผลิตสินแร่และแก๊สมากสุดถึง 1 ใน 5 ของโลก เป็นแหล่งผลิตน้ำมันดิบสัดส่วน 1 ใน 10 ของโลก และเป็นแหล่งผลิตสินค้าเหล็กสัดส่วน 1 ใน 20 ของโลก
นอกจากนั้น ภาวะเงินเฟ้อและเศรษฐกิจชะลอตัวทั่วโลก ยิ่งส่งผลให้ราคาเหล็กเปลี่ยนแปลงในช่วงกว้างได้ ในขณะที่ความต้องการใช้เหล็ก ที่สมาคมเหล็กโลก (World Steel Association) คาดการณ์ความต้องการใช้เหล็กของทั้งโลกในปี 2565 จะมีปริมาณ 1,804.2 ล้านตัน ปรับตัวขึ้นเพียงเล็กน้อย 0.4% จากปีก่อน
อ่านต่อได้ที่ : https://bit.ly/3aNa4uw