ผมสามารถฟันธงได้เลยว่าราคาน้ำมันและก๊าซ ราคาสินค้าเกษตรทั้งที่เป็นอาหารคน สัตว์และพืชพลังงาน รวมไปถึงราคาปุ๋ยในตลาดโลกที่สูงขึ้นในขณะนี้ สาเหตุมาจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน
ส่วน “ราคาเหล็ก” ในตลาดโลกที่สูงช่วง 3-4 เดือนที่ผ่าน หรือในครึ่งปีหลัง 2565 นั้น จะเป็นผลมาจากสงครามรัสเซีย-ยูเครนหรือไม่
ผมขอเริ่มอย่างนี้ครับ ความต้องการใช้เหล็กในอนาคตจะยิ่งเพิ่มสูงขึ้นเพราะเหล็กสามารถนำมารีไซเคิลกลับมาใช้ใหม่ได้ 100% ในขณะที่ปูนซิเมนต์ไม่สามารถทำได้ ปัจจุบันเราได้เห็นตึกอาคาร โรงแรม และบ้านเรือนสมัยใหม่สร้างเป็น “โครงสร้างเหล็ก” ที่เห็นชัดเจน (อย่างไรก็ตามต้นทุนในการก่อสร้างสูงกว่าคอนกรีต 30%) บางครั้งเรียกว่า “อาคารสีเขียว”
รถยนต์แบรนด์ดังของยุโรปก็ให้ความสำคัญกับการนำเหล็กที่ใช้แล้วมาใช้ใหม่ รวมถึงมีการใช้เหล็กที่ผลิตโดย “พลังงานไฮโดรเจนที่ใช้พลังงานชีวมวล” และในอนาคตจะใช้เหล็กสีเขียวที่ผลิตในสวีเดน (H2 Green Steel) โดยสวีเดนมีเป้าหมายเป็นผู้นำการผลิตเหล็กสีเขียวในปี 2573 (กระบวนการผลิตเหล็กชนิดนี้ ไม่ใช้พลังงานฟอสซิลเลย)
ด้วยเหตุผลทั้งหมดก็เพื่อ “ลด CO2” ความต้องการเหล็กที่เพิ่มขึ้นข้างต้น สอดคล้องกับผลผลิตเหล็กโลกที่เพิ่มขึ้นทุกปีเช่นกันจาก 1.5 พันล้านตัน (2012) เป็น 1.9 พันล้านตัน (2021) ตั้งแต่ปี 2553 เป็นต้นมา
จีนยังคงครองเบอร์หนึ่งของโลกในการผลิตเหล็ก (สัดส่วน 50%) อินเดีย (สัดส่วน 6%) ญี่ปุ่น (สัดส่วน 5%) และรัสเซีย (สัดส่วน 4% ปริมาณ 76 ล้านตัน ผลิตอันดับ 5 ของโลก) ส่วนยูเครนผลิตสัดส่วน 1% เป็นอันดับ 14 ของโลก “จีนผลิตมากและความต้องการสูงเช่นกัน” สัดส่วน 53% ของความต้องการโลก ตามด้วยอินเดียและสหรัฐฯ
สงครามรัสเซีย-ยูเครนทำให้ราคาเหล็กในตลาดโลกเพิ่มสูงขึ้นหรือไม่ ขอให้พิจารณาดังนี้ 1.ราคาน้ำมันปรับสูงขึ้น น้ำมันมีสัดส่วน 5% ในการผลิตเหล็ก หากเราพิจารณาราคาเหล็กในตลาดโลกของ “steelbenchmarker” พบว่าเหล็กรีดร้อน (Hot-rolled Band) เหล็กรีดเย็น (Cold-rolled Coil) เหล็กเส้น (Rebar) เศษเหล็ก (Steel Scrap)
อ่านต่อได้ที่ : httphttps://bit.ly/3Oj5x1u