นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ให้สัมภาษณ์เว็บไซต์นิกเกอิเอเชีย เตือนว่าภาษีศุลกากรของสหรัฐ และสินค้าจำนวนมากที่ถูกเบี่ยงมาจากตลาดอื่นจนไหลทะลักเข้าไทย อาจสร้างความเสียหายให้กับหลายอุตสาหกรรมของไทย และอาจทิ้งรอยแผลเป็นลึกเอาไว้
คำเตือนของผู้ว่าฯ ธปท. สอดคล้องกับสัญญาณเตือนที่ดังก้องไปทั่วเอเชีย เนื่องจากมาตรการภาษีที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐบังคับใช้ เริ่มส่งผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจจริงแล้ว หลังจากที่ได้สร้างความปั่นป่วนในตลาดการเงินตลอดช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา
นายเศรษฐพุฒิชี้ว่า ภาคอุตสาหกรรมที่พึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก อาจได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงหากไม่สามารถเข้าถึงตลาดสหรัฐได้ เช่น กลุ่มอาหารแปรรูป อิเล็กทรอนิกส์ และชิ้นส่วนยานยนต์ โดยเฉพาะยางรถยนต์
นอกจากภาคการส่งออกแล้ว "ตลาดในประเทศ" ยังคาดว่าจะได้รับผลกระทบจากสินค้าที่เข้าตลาดสหรัฐไม่ได้และไหลทะลักเข้ามาในประเทศไทยแทน เช่น เฟอร์นิเจอร์ สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม พลาสติก ปิโตรเคมี และเหล็ก
"การนำเข้าจะพุ่งสูงขึ้นจากหลายประเทศ แต่ที่สำคัญเลยก็คือ จีน" นายเศรษฐพุฒิ กล่าว
"สำหรับเราแล้ว สิ่งที่น่าเป็นห่วงเป็นพิเศษก็คือ อุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากการนำเข้าจำนวนมาก โดยในกลุ่มหรือกลุ่มย่อยของภาคส่วนนี้มีผู้ประกอบการ SME เป็นจำนวนมาก" ผู้ว่าฯ ธปท.กล่าว "พวกเขาจะเสี่ยงมากขึ้น และเอสเอ็มอียังเป็นส่วนสำคัญอย่างมากต่อการจ้างงานด้วย"
รายงานระบุว่า นายเศรษฐพุฒิได้พบกับนิกเกอิเอเชียเมื่อวันที่ 23 พ.ค. และความไม่แน่นอนเกี่ยวกับภาษีศุลกากรสหรัฐก็ทวีความรุนแรงมากขึ้นตั้งแต่นั้นมา ศาลการค้าระหว่างประเทศในสหรัฐมีคำพิพากษาเมื่อวันพุธที่ 28 พ.ค. ให้หยุดการเรียกเก็บภาษีศุลกากรทันที โดยตัดสินว่าทรัมป์ใช้อำนาจเกินขอบเขตในการเรียกเก็บภาษีศุลกากร แต่ในวันรุ่งขึ้น ศาลอุทธรณ์ของรัฐบาลกลางกลับมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวตามคำร้องของรัฐบาล เปิดทางให้ทรัมป์ยังดำเนินการเก็บภาษีศุลกากรได้ต่อเป็นการชั่วคราว
ผู้ว่าฯ ธปท. กล่าวว่า "ผลกระทบทางเศรษฐกิจที่หลากหลายเช่นนี้ทำให้ธนาคารกลางไม่สามารถคาดการณ์เศรษฐกิจได้ และทำให้ต้องทำบางสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน นั่นคือ เสนอฉากทัศน์ขึ้นมาสองแบบ"
เมื่อวันที่ 30 เม.ย. ธปท. ได้ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจไทยพร้อมเสนอ 2 ฉากทัศน์ที่เป็นไปได้คือ เศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้ 2% ในปีนี้ หรือในกรณีที่เลวร้ายกว่านั้นจะเติบโตได้เพียง 1.3% แนวทางนี้สอดคล้องกับสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์ฯ) ซึ่งคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้ประมาณ 1.3-2.3% โดยมีคาดการณ์เฉลี่ยที่ 1.8% ในปีนี้
"เราจะเริ่มเห็นผลของภาษีศุลกากรในไตรมาสที่ 3 และ 4 โดยส่วนใหญ่จะขึ้นอยู่กับการเจรจาและผลลัพธ์ที่ตามมา" นายเศรษฐพุฒิกล่าว “เราประมาณการว่าอัตราการเติบโตศักยภาพในระยะยาว จะอยู่ที่ประมาณ 2% ปลาย ๆ
การคาดการณ์ล่าสุดเหล่านี้บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจจะเติบโตได้ต่ำกว่าศักยภาพ เนื่องจากภาษีศุลกากรจะเป็นอุปสรรคต่อการส่งออกของไทย ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนกว่า 60% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ของประเทศ
เพื่อสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ ธปท.ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 2 ครั้งในปีนี้ โดยมีอัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันที่ระดับ 1.75%
"เราคิดว่านโยบายการเงินในขณะนี้ค่อนข้างผ่อนคลายแล้ว" นายเศรษฐพุฒิกล่าวพร้อมเสริมว่า ธปท. ไม่ได้พิจารณาเฉพาะเป้าหมายเงินเฟ้อเท่านั้น เมื่อตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ย "เราคิดว่า ธปท. ได้คำนึงถึงแนวโน้มการเติบโตที่อ่อนแอลงบางส่วนที่เราคาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตด้วย"
"ผมบอกคุณไม่ได้ว่าเราจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งเมื่อใด แต่นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายยังคงจำเป็นสำหรับประเทศไทยในขณะนี้"
นายเศรษฐพุฒิซึ่งเป็นอดีตนักเศรษฐศาสตร์ธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์) ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยมาตั้งแต่ปี 2563 โดยวาระการดำรงตำแหน่ง 5 ปีจะสิ้นสุดในวันที่ 30 ก.ย. นี้ และไม่สามารถดำรงตำแหน่งต่อเป็นสมัยที่สองได้ เนื่องจากเขาจะถึงอายุเกษียณ 60 ปีในปีนี้เช่นกัน
เขาย้ำว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะยังคงรักษาเสถียรภาพของ "ค่าเงินบาท" ต่อไป เพื่อยังคงนโยบายการเงินแบบผ่อนปรนและสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ
ประเทศไทยเป็นประเทศที่ขับเคลื่อนโดยระบบธนาคารมากกว่าระบบตลาด และผลกระทบของภาษีศุลกากรต่อตลาดการเงินนั้นก็น้อยกว่าเมื่อเทียบกับประเทศอย่างสหรัฐ
"ค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงมักจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ส่งออกของไทยมากกว่า แม้ว่าคำกล่าวนี้จะเป็นความจริง แต่เราก็ไม่ได้มีเป้าหมายหรือระดับของอัตราแลกเปลี่ยนที่แน่นอน” นายเศรษฐพุฒิกล่าว
"เราตระหนักดีถึงอันตรายและความเสี่ยงจากการพยายามทำอะไรมากเกินไปเกี่ยวกับระดับอัตราแลกเปลี่ยน" ผู้ว่าฯ ธปท.กล่าว โดยชี้ให้เห็นถึงบทเรียนครั้งใหญ่จากวิกฤตการณ์ต้มยำกุ้งเมื่อปี 2540-2541
นายเศรษฐพุฒิเปรียบเทียบวิกฤติเศรษฐกิจในปัจจุบันกับวิกฤตการณ์ครั้งก่อนๆ ว่า เขาไม่ได้มองโลกในแง่ร้ายเกินไป เนื่องจากประเทศไทยยังคงมี "ภาคบริการ" ซึ่งคาดว่าจะยังคงอยู่ได้แม้ทรัมป์จะขึ้นภาษี และอาจมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนเศรษฐกิจของไทย
"พายุลูกนี้ไม่เลวร้ายเท่าลูกที่ผ่านๆ มา" นายเศรษฐพุฒิกล่าว โดยอ้างถึงช่วงที่จีดีพีของไทยหดตัวถึง 7.6% ในปี 2540 และหดตัว 6.1% ในช่วงการระบาดของโควิด-19 เมื่อปี 2563 ซึ่งผู้ว่าแบงก์ชาติมองว่าประมาณการเติบโต 1.3 - 2.0% ในปีนี้ ดีกว่ามากเมื่อเทียบกับช่วงความมืดมนทางเศรษฐกิจเหล่านั้น
"เราจะผ่านพ้นพายุลูกนี้ได้ เพราะเราเคยเจอที่เลวร้ายกว่านี้มาแล้ว และเราก็ผ่านพ้นมันมาได้แล้ว” นายเศรษฐพุฒิกล่าวกับสื่อญี่ปุ่น
สำหรับการแก้ไขปัญหาภาษีศุลกากรของทรัมป์นั้น ผู้ว่าฯ ธปท. คาดว่าอาจจะต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่ง โดยขึ้นอยู่กับว่าประเทศไทยจะสามารถเจรจากับสหรัฐได้อย่างไร แต่เมื่อถามว่าปัญหาการค้าจะกินเวลานานแค่ไหน เขากล่าวว่า "ผมไม่คิดว่าจะมีใครรู้จริงๆ หรอก"
อย่างไรก็ดี ตราบใดที่ภาษีศุลกากรยังกดดัน นายเศรษฐพุฒิยังคงย้ำว่า ประเทศไทยจำเป็นต้องปรับโครงสร้าง โดยเฉพาะโครงสร้างหนี้ เพื่อให้ประเทศมีความยืดหยุ่นมากขึ้นในช่วงวิกฤติแทนที่จะหันไปใช้การลดดอกเบี้ยเพื่อส่งเสริมธุรกิจอยู่เสมอ
"อัตราดอกเบี้ยเป็นเครื่องมือที่ทื่อมากและส่งผลกระทบต่อหลายด้าน” เขากล่าว “ประโยชน์ของการลดดอกเบี้ยจะค่อยๆ น้อยลงเรื่อยๆ” และเสริมว่าอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงจะกระตุ้นให้ประชาชนกู้ยืมมากขึ้น ซึ่งอาจทำให้ปัญหาหนี้สะสมรุนแรงขึ้น และถ่วงเศรษฐกิจในระยะยาว
ประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหาหนี้ครัวเรือนที่พุ่งสูง ซึ่งกดดันให้ธนาคารพาณิชย์ต้องใช้มาตรการสินเชื่อที่เข้มงวดขึ้น จนกระทบต่อกำลังซื้อสินค้าคงทน โดยเฉพาะรถยนต์ ให้ปรับตัวลดลง โดยสะท้อนผ่านยอดขายรถยนต์ปี 2567 ที่ลดลงถึง 26%
ทั้งนี้ หนี้ครัวเรือนของไทยพุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 95.5% ในปี 2564 ซึ่งเป็นช่วงที่ประเทศไทยยังคงต่อสู้กับการระบาดของโควิด-19 ก่อนที่ธปท. จะดำเนินมาตรการลดหนี้ครัวเรือนในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา และส่งผลให้สามารถลดหนี้ลงเหลือ 88.4% ของจีดีพีภายในสิ้นปี 2567
“อย่างน้อยมันก็ไปในทิศทางที่ถูกต้อง แต่ 88% ก็ยังถือว่าสูงเกินไป” นายเศรษฐพุฒิกล่าว
สำหรับมุมมองในเชิงบวกจากปัญหาที่เกิดขึ้นนั้น ผู้ว่าฯ ธปท. กล่าวว่าการหยุดชะงักทางการค้าที่เกิดจากภาษีของทรัมป์อาจเป็นโอกาสดีที่ "อาเซียน" จะสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจให้ใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้นในภูมิภาค ในช่วงเวลาที่โลกกำลังมุ่งสู่ "ดุลยภาพทางการค้ารูปแบบใหม่"
"สิ่งหนึ่งที่ผมหวังว่าจะได้เห็นจากทั้งหมดนี้ก็คือ การบูรณาการมากขึ้นในภูมิภาค โดยเฉพาะในอาเซียนและประเทศหุ้นส่วน” นายเศรษฐพุฒิระบุ และกล่าวถึง "ญี่ปุ่น" ว่าเป็นหุ้นส่วนการค้าที่สำคัญอย่างมากต่อประเทศไทย
"เศรษฐกิจของเราในอดีตค่อนข้างเติบโตสำเร็จด้วยดีจากการลงทุนของญี่ปุ่น" เขากล่าว "เรารู้สึกซาบซึ้งใจมาก"