ผู้ว่าแบงก์ชาติเผย ภาษีทรัมป์สร้าง 'แผลเป็นลึก' เศรษฐกิจไทย

04 มิถุนายน 2568
ผู้ว่าแบงก์ชาติเผย ภาษีทรัมป์สร้าง 'แผลเป็นลึก' เศรษฐกิจไทย
ผู้ว่าธปท. ชี้ภาษีทรัมป์ทำเศรษฐกิจไทยเสียสมดุลหนัก ส่งออกกระอัก ซ้ำนำเข้าทะลักจากจีน ยันใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายต่อ ดูแลเสถียรภาพค่าเงินบาท แนะปรับโครงสร้างจะได้ไม่ต้องพึ่งแต่การลดดอกเบี้ย เชื่อวิกฤติครั้งนี้จะผ่านไปได้ หนักกว่านี้ก็เจอมาแล้ว

นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ให้สัมภาษณ์เว็บไซต์นิกเกอิเอเชีย เตือนว่าภาษีศุลกากรของสหรัฐ และสินค้าจำนวนมากที่ถูกเบี่ยงมาจากตลาดอื่นจนไหลทะลักเข้าไทย อาจสร้างความเสียหายให้กับหลายอุตสาหกรรมของไทย และอาจทิ้งรอยแผลเป็นลึกเอาไว้

คำเตือนของผู้ว่าฯ ธปท. สอดคล้องกับสัญญาณเตือนที่ดังก้องไปทั่วเอเชีย เนื่องจากมาตรการภาษีที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐบังคับใช้ เริ่มส่งผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจจริงแล้ว หลังจากที่ได้สร้างความปั่นป่วนในตลาดการเงินตลอดช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา

นายเศรษฐพุฒิชี้ว่า ภาคอุตสาหกรรมที่พึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก อาจได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงหากไม่สามารถเข้าถึงตลาดสหรัฐได้ เช่น กลุ่มอาหารแปรรูป อิเล็กทรอนิกส์ และชิ้นส่วนยานยนต์ โดยเฉพาะยางรถยนต์

ห่วง SME ถูกสินค้าจีนทะลัก

นอกจากภาคการส่งออกแล้ว "ตลาดในประเทศ" ยังคาดว่าจะได้รับผลกระทบจากสินค้าที่เข้าตลาดสหรัฐไม่ได้และไหลทะลักเข้ามาในประเทศไทยแทน เช่น เฟอร์นิเจอร์ สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม พลาสติก ปิโตรเคมี และเหล็ก
"การนำเข้าจะพุ่งสูงขึ้นจากหลายประเทศ แต่ที่สำคัญเลยก็คือ จีน" นายเศรษฐพุฒิ กล่าว
"สำหรับเราแล้ว สิ่งที่น่าเป็นห่วงเป็นพิเศษก็คือ อุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากการนำเข้าจำนวนมาก โดยในกลุ่มหรือกลุ่มย่อยของภาคส่วนนี้มีผู้ประกอบการ SME เป็นจำนวนมาก" ผู้ว่าฯ ธปท.กล่าว "พวกเขาจะเสี่ยงมากขึ้น และเอสเอ็มอียังเป็นส่วนสำคัญอย่างมากต่อการจ้างงานด้วย"

ทั้งนี้ กรมศุลกากรจีนได้รายงานตัวเลขการค้าเดือนเม.ย. ก่อนหน้านี้ว่า การส่งออกของจีนไปยังสหรัฐลดลง 21% ในเดือนเม.ย. นับตั้งแต่รัฐบาลทรัมป์ประกาศมาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้เมื่อวันที่ 2 เม.ย. แต่การส่งออกของจีนไปทั่วโลกเติบโตขึ้น 8% โดยเฉพาะ "การส่งออกไปยังไทย" เพิ่มขึ้นถึง 28%

เศรษฐกิจไทยโตต่ำศักยภาพ

รายงานระบุว่า นายเศรษฐพุฒิได้พบกับนิกเกอิเอเชียเมื่อวันที่ 23 พ.ค. และความไม่แน่นอนเกี่ยวกับภาษีศุลกากรสหรัฐก็ทวีความรุนแรงมากขึ้นตั้งแต่นั้นมา ศาลการค้าระหว่างประเทศในสหรัฐมีคำพิพากษาเมื่อวันพุธที่ 28 พ.ค. ให้หยุดการเรียกเก็บภาษีศุลกากรทันที โดยตัดสินว่าทรัมป์ใช้อำนาจเกินขอบเขตในการเรียกเก็บภาษีศุลกากร แต่ในวันรุ่งขึ้น ศาลอุทธรณ์ของรัฐบาลกลางกลับมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวตามคำร้องของรัฐบาล เปิดทางให้ทรัมป์ยังดำเนินการเก็บภาษีศุลกากรได้ต่อเป็นการชั่วคราว

ผู้ว่าฯ ธปท. กล่าวว่า "ผลกระทบทางเศรษฐกิจที่หลากหลายเช่นนี้ทำให้ธนาคารกลางไม่สามารถคาดการณ์เศรษฐกิจได้ และทำให้ต้องทำบางสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน นั่นคือ เสนอฉากทัศน์ขึ้นมาสองแบบ"

เมื่อวันที่ 30 เม.ย. ธปท. ได้ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจไทยพร้อมเสนอ 2 ฉากทัศน์ที่เป็นไปได้คือ เศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้ 2% ในปีนี้ หรือในกรณีที่เลวร้ายกว่านั้นจะเติบโตได้เพียง 1.3% แนวทางนี้สอดคล้องกับสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์ฯ) ซึ่งคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้ประมาณ 1.3-2.3% โดยมีคาดการณ์เฉลี่ยที่ 1.8% ในปีนี้

"เราจะเริ่มเห็นผลของภาษีศุลกากรในไตรมาสที่ 3 และ 4 โดยส่วนใหญ่จะขึ้นอยู่กับการเจรจาและผลลัพธ์ที่ตามมา" นายเศรษฐพุฒิกล่าว “เราประมาณการว่าอัตราการเติบโตศักยภาพในระยะยาว จะอยู่ที่ประมาณ 2% ปลาย ๆ

การคาดการณ์ล่าสุดเหล่านี้บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจจะเติบโตได้ต่ำกว่าศักยภาพ เนื่องจากภาษีศุลกากรจะเป็นอุปสรรคต่อการส่งออกของไทย ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนกว่า 60% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ของประเทศ

เพื่อสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ ธปท.ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 2 ครั้งในปีนี้ โดยมีอัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันที่ระดับ 1.75%

"เราคิดว่านโยบายการเงินในขณะนี้ค่อนข้างผ่อนคลายแล้ว" นายเศรษฐพุฒิกล่าวพร้อมเสริมว่า ธปท. ไม่ได้พิจารณาเฉพาะเป้าหมายเงินเฟ้อเท่านั้น เมื่อตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ย "เราคิดว่า ธปท. ได้คำนึงถึงแนวโน้มการเติบโตที่อ่อนแอลงบางส่วนที่เราคาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตด้วย"
"ผมบอกคุณไม่ได้ว่าเราจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งเมื่อใด แต่นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายยังคงจำเป็นสำหรับประเทศไทยในขณะนี้"

แบงก์ชาติยังรักษาเสถียรภาพเงินบาท

นายเศรษฐพุฒิซึ่งเป็นอดีตนักเศรษฐศาสตร์ธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์) ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยมาตั้งแต่ปี 2563 โดยวาระการดำรงตำแหน่ง 5 ปีจะสิ้นสุดในวันที่ 30 ก.ย. นี้ และไม่สามารถดำรงตำแหน่งต่อเป็นสมัยที่สองได้ เนื่องจากเขาจะถึงอายุเกษียณ 60 ปีในปีนี้เช่นกัน

เขาย้ำว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะยังคงรักษาเสถียรภาพของ "ค่าเงินบาท" ต่อไป เพื่อยังคงนโยบายการเงินแบบผ่อนปรนและสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ

ประเทศไทยเป็นประเทศที่ขับเคลื่อนโดยระบบธนาคารมากกว่าระบบตลาด และผลกระทบของภาษีศุลกากรต่อตลาดการเงินนั้นก็น้อยกว่าเมื่อเทียบกับประเทศอย่างสหรัฐ

"ค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงมักจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ส่งออกของไทยมากกว่า แม้ว่าคำกล่าวนี้จะเป็นความจริง แต่เราก็ไม่ได้มีเป้าหมายหรือระดับของอัตราแลกเปลี่ยนที่แน่นอน” นายเศรษฐพุฒิกล่าว

"เราตระหนักดีถึงอันตรายและความเสี่ยงจากการพยายามทำอะไรมากเกินไปเกี่ยวกับระดับอัตราแลกเปลี่ยน" ผู้ว่าฯ ธปท.กล่าว โดยชี้ให้เห็นถึงบทเรียนครั้งใหญ่จากวิกฤตการณ์ต้มยำกุ้งเมื่อปี 2540-2541

นายเศรษฐพุฒิเปรียบเทียบวิกฤติเศรษฐกิจในปัจจุบันกับวิกฤตการณ์ครั้งก่อนๆ ว่า เขาไม่ได้มองโลกในแง่ร้ายเกินไป เนื่องจากประเทศไทยยังคงมี "ภาคบริการ" ซึ่งคาดว่าจะยังคงอยู่ได้แม้ทรัมป์จะขึ้นภาษี และอาจมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนเศรษฐกิจของไทย

"พายุลูกนี้ไม่เลวร้ายเท่าลูกที่ผ่านๆ มา" นายเศรษฐพุฒิกล่าว โดยอ้างถึงช่วงที่จีดีพีของไทยหดตัวถึง 7.6% ในปี 2540 และหดตัว 6.1% ในช่วงการระบาดของโควิด-19 เมื่อปี 2563 ซึ่งผู้ว่าแบงก์ชาติมองว่าประมาณการเติบโต 1.3 - 2.0% ในปีนี้ ดีกว่ามากเมื่อเทียบกับช่วงความมืดมนทางเศรษฐกิจเหล่านั้น

"เราจะผ่านพ้นพายุลูกนี้ได้ เพราะเราเคยเจอที่เลวร้ายกว่านี้มาแล้ว และเราก็ผ่านพ้นมันมาได้แล้ว” นายเศรษฐพุฒิกล่าวกับสื่อญี่ปุ่น

ย้ำเศรษฐกิจไทยต้องปรับโครงสร้าง

สำหรับการแก้ไขปัญหาภาษีศุลกากรของทรัมป์นั้น ผู้ว่าฯ ธปท. คาดว่าอาจจะต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่ง โดยขึ้นอยู่กับว่าประเทศไทยจะสามารถเจรจากับสหรัฐได้อย่างไร แต่เมื่อถามว่าปัญหาการค้าจะกินเวลานานแค่ไหน เขากล่าวว่า "ผมไม่คิดว่าจะมีใครรู้จริงๆ หรอก" 

อย่างไรก็ดี ตราบใดที่ภาษีศุลกากรยังกดดัน นายเศรษฐพุฒิยังคงย้ำว่า ประเทศไทยจำเป็นต้องปรับโครงสร้าง โดยเฉพาะโครงสร้างหนี้ เพื่อให้ประเทศมีความยืดหยุ่นมากขึ้นในช่วงวิกฤติแทนที่จะหันไปใช้การลดดอกเบี้ยเพื่อส่งเสริมธุรกิจอยู่เสมอ

"อัตราดอกเบี้ยเป็นเครื่องมือที่ทื่อมากและส่งผลกระทบต่อหลายด้าน” เขากล่าว “ประโยชน์ของการลดดอกเบี้ยจะค่อยๆ น้อยลงเรื่อยๆ” และเสริมว่าอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงจะกระตุ้นให้ประชาชนกู้ยืมมากขึ้น ซึ่งอาจทำให้ปัญหาหนี้สะสมรุนแรงขึ้น และถ่วงเศรษฐกิจในระยะยาว

ประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหาหนี้ครัวเรือนที่พุ่งสูง ซึ่งกดดันให้ธนาคารพาณิชย์ต้องใช้มาตรการสินเชื่อที่เข้มงวดขึ้น จนกระทบต่อกำลังซื้อสินค้าคงทน โดยเฉพาะรถยนต์ ให้ปรับตัวลดลง โดยสะท้อนผ่านยอดขายรถยนต์ปี 2567 ที่ลดลงถึง 26% 

ทั้งนี้ หนี้ครัวเรือนของไทยพุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 95.5% ในปี 2564 ซึ่งเป็นช่วงที่ประเทศไทยยังคงต่อสู้กับการระบาดของโควิด-19 ก่อนที่ธปท. จะดำเนินมาตรการลดหนี้ครัวเรือนในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา และส่งผลให้สามารถลดหนี้ลงเหลือ 88.4% ของจีดีพีภายในสิ้นปี 2567

“อย่างน้อยมันก็ไปในทิศทางที่ถูกต้อง แต่ 88% ก็ยังถือว่าสูงเกินไป” นายเศรษฐพุฒิกล่าว

สำหรับมุมมองในเชิงบวกจากปัญหาที่เกิดขึ้นนั้น ผู้ว่าฯ ธปท. กล่าวว่าการหยุดชะงักทางการค้าที่เกิดจากภาษีของทรัมป์อาจเป็นโอกาสดีที่ "อาเซียน" จะสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจให้ใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้นในภูมิภาค ในช่วงเวลาที่โลกกำลังมุ่งสู่ "ดุลยภาพทางการค้ารูปแบบใหม่"

"สิ่งหนึ่งที่ผมหวังว่าจะได้เห็นจากทั้งหมดนี้ก็คือ การบูรณาการมากขึ้นในภูมิภาค โดยเฉพาะในอาเซียนและประเทศหุ้นส่วน” นายเศรษฐพุฒิระบุ และกล่าวถึง "ญี่ปุ่น" ว่าเป็นหุ้นส่วนการค้าที่สำคัญอย่างมากต่อประเทศไทย

"เศรษฐกิจของเราในอดีตค่อนข้างเติบโตสำเร็จด้วยดีจากการลงทุนของญี่ปุ่น" เขากล่าว "เรารู้สึกซาบซึ้งใจมาก"


แหล่งที่มา : กรุงเทพธุรกิจ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

The information in the above report, publication and website has been obtained from sources believed to be reliable. However, Iron & Steel Institute of Thailand does not guarantee the accuracy, adequacy or completeness of the information. Any opinions or forecasts regarding future events may differ from actual events or results. In addition, Iron & Steel Institute of Thailand reserves the right to make changes and corrections to the information, including any opinions or forecasts, at any time without notice.