ภาคอุตสาหกรรมไทยกำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายที่สำคัญที่สุด คือการที่โครงสร้างเศรษฐกิจไทยยังคงพึ่งพาการส่งออกสินค้า อุตสาหกรรมเป็นหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สิ่งนี้ทำให้ภาคอุตสาหกรรมต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์เศรษฐกิจโลกและปัจจัยภายนอกเป็นอย่างมาก โดยมี 5 แนวโน้มโลกและทิศทางการพัฒนาประเทศ ที่ส่งผลกระทบโดยตรงและจำเป็นต้องเร่งปรับตัว
นายภาสกร ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) กล่าวกับ "กรุงเทพธุรกิจ" ว่า ความท้าทายที่สำคัญที่สุดที่ สศอ. กำลังเผชิญในปัจจุบัน คือ การที่โครงสร้างเศรษฐกิจไทยยังต้องพึ่งพิงการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมเป็นสาขาหลักในการสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งในแง่ของการนำรายได้เข้าสู่ประเทศ ก่อให้เกิดการจ้างงาน
ตลอดจนการสนับสนุนให้เกิดการใช้จ่ายและการลงทุนในประเทศ ทำให้ภาคอุตสาหกรรมไทยต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์เศรษฐกิจโลกและปัจจัยภายนอก โดยแนวโน้มโลกและทิศทางการพัฒนาประเทศที่ส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมแบ่งออกเป็นหลายด้านที่สำคัญ เช่น
1. ความท้าทายด้านการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี ที่มีความก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ครอบคลุมหลายด้านที่มีผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน เศรษฐกิจ และสังคม เช่น นำ AI มาใช้ในด้านต่าง ๆ อาทิ การวิเคราะห์ข้อมูล พัฒนาแชตบอต การสร้างเนื้อหาอัตโนมัติ และระบบการแปลภาษา ใช้ AI ด้านการแพทย์ เช่น การวินิจฉัยโรค และในอุตสาหกรรม หรือ หุ่นยนต์อัตโนมัติในโรงงาน เชื่อมโยงกระบวนการผลิตผ่าน IoT, Big Data และ Machine Learning เป็นต้น
ทั้งนี้ กระทรวงฯ ได้นำเทคโนโลยีเข้ามาเป็นเครื่องมือที่สำคัญในภาคการผลิตผ่านการกำหนดมาตรการต่าง ๆ เช่น อุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ ส่งเสริมการนำ AI/ เทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการทำวิจัยในคน (Clinical Trial) เพื่อหลีกเลี่ยงประเด็นจริยธรรมทางการแพทย์ (Medical Ethic) อุตสาหกรรมหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ โดยการสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีที่ไทยมีศักยภาพ เช่น Automation application work cell, AMR, ASRS, Realtime Monitoring, Big data and Analytics, Machine learning and AI
2. ความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อม Climate Change ประเทศต่าง ๆ นำประเด็นทางด้านสิ่งแวดล้อมมาใช้เป็นข้อตกลงระหว่างประเทศ อาทิ มาตรการ CBAM และกฎหมายว่าด้วยสินค้าที่ปลอดจากการตัดไม้ทำลายป่าของสหภาพยุโรป (EUDR) ซึ่งภาคอุตสาหกรรมไทยจำเป็นต้องปรับตัวเพื่อพัฒนาสินค้าและกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อตอบโจทย์การพัฒนาที่ยั่งยืน
ดังนั้น กระทรวงฯ ได้ดำเนินมาตรการที่สำคัญ เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ เร่งรัดการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (EV) โดยใช้ชิ้นส่วนในประเทศอย่างน้อย 40% ภายใต้เขตประกอบการเสรี และเขตปลอดอากร (Freezone) ตามข้อเงื่อนไขการผลิตชดเชยการนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าในปี 2565-2566 โดยคาดว่าในปี 2568 จะมีการผลิตรถ EV รวม 102,472 คัน
3. อุตสาหกรรมเหล็ก ซึ่งกรมโรงงานอุตสาหกรรม ได้ร่วมกับสศอ. อยู่ระหว่างพิจารณาจัดทำร่างประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง ห้ามตั้งหรือขยายโรงงานผลิตเหล็กรีดร้อน โดยจำกัดการเพิ่มกำลังการผลิตเหล็กรีดร้อน เพื่อแก้ปัญหาการใช้อัตรากำลังการผลิตเหล็กที่ตกต่ำอย่างต่อเนื่อง และหาแนวทางในการกำหนดเงื่อนไขสำหรับการปรับปรุงกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หรือคุณภาพของผลิตภัณฑ์เหล็ก เช่น เหล็กสีเขียว เพื่อให้ผู้ประกอบการรายเดิมและรายใหม่ ที่มีแผนการลงทุนเพิ่มเติม หรือการลงทุนใหม่ ในกระบวนการผลิตลักษณะดังกล่าว สามารถดำเนินกิจกรรมในลักษณะดังกล่าวได้ โดยไม่เป็นการขัดกับประกาศฯ
4 ความท้าทายด้านการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรไปสู่ Silver Economy โลกได้เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุแล้ว ซึ่งจำนวนและสัดส่วนผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทั้งประเทศไทยและทั่วโลก โดยไทยมีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป มากกว่า 20% ของประชากรทั้งหมด เกิดปัญหาการขาดแคลนแรงงานในภาคอุตสาหกรรม เป็นประเด็นท้าทายที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะในภาคการผลิตที่พึ่งพาแรงงานจำนวนมาก โดยกระทรวงฯ ได้ดำเนินมาตรการ เช่น อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม พัฒนาการออกแบบเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม และสนับสนุนการผลิตเสื้อผ้าที่คำนึงถึง Fashion ควบคู่กับ Function (Functional / Application Design) สำหรับตลาดกลุ่มผู้สูงอายุ (Silver Economy)
5. ความท้าทายด้านการสวมสิทธิถิ่นกำเนิดสินค้า (Origin Fraud) ในภาคอุตสาหกรรมไทยถือเป็นประเด็นสำคัญที่อาจส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการ SMEs และการค้าระหว่างประเทศ โดยจะทำให้ SMEs สูญเสียความสามารถในการแข่งขันอย่างเป็นธรรม ซึ่ง SMEs ที่ผลิตสินค้าโดยชอบธรรม ต้องแข่งขันกับสินค้าสวมสิทธิที่มีต้นทุนต่ำกว่าส่งผลให้ขายสินค้าได้ยากขึ้น โดยเฉพาะในตลาดส่งออก
ทั้งนี้ กระทรวงฯ ได้ทำนโยบาย “Save อุตสาหกรรมไทย” ที่มีความสําคัญต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ ด้วยการปกป้องและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันผู้ประกอบการไทย เช่น การป้องกันการนำเข้าสินค้าไม่ได้มาตรฐาน โดยสร้างความเท่าเทียมด้านกฎระเบียบและภาษีระหว่างร้านค้าที่มีหน้าร้านในไทย ผู้ประกอบการออนไลน์ที่อยู่ในไทย และผู้ประกอบการออนไลน์ต่างประเทศ โดยผลักดันการใช้ Big Data และ AI จับสินค้าไม่ได้มาตรฐานใน E-Commerce Platform ของประเทศ
ทั้งนี้ สศอ. ได้ปรับประมาณการดัชนี MPI ปี 2568 ขยายตัวอยู่ในช่วงระหว่างร้อยละ 0 – 1 จากประมาณการเดิมขยายตัวร้อยละ 1.5 - 2.5 และ GDP ภาคอุตสาหกรรม ปี 2568 คาดขยายตัวร้อยละ 0.5 – 1.5 จากประมาณการครั้งก่อนคาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 1.5 - 2.5 ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับหน่วยงานทางเศรษฐกิจอื่น ๆ โดยมีสาเหตุหลักจาก การขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ และปัญหาการนำเข้าสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศ