ศาลการค้าระหว่างประเทศในนิวยอร์กตัดสินว่า ประธานาธิบดีไม่มีอำนาจในการกำหนดภาษีนำเข้าครอบคลุมทุกประเทศ เนื่องจากขัดต่อบทบาทของรัฐสภาในการควบคุมการค้าระหว่างประเทศ
รอยเตอร์รายงานว่า ศาลการค้าระหว่างประเทศสหรัฐอเมริกาได้ออกคำสั่งระงับการบังคับใช้นโยบายภาษีนำเข้าแบบตอบโต้ของของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อวันพุธที่ 28 พฤษภาคม โดยวินิจฉัยว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการใช้อำนาจเกินขอบเขตที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้
คณะผู้พิพากษา 3 นายจากศาลการค้าระหว่างประเทศในแมนฮัตตันระบุชัดเจนว่า รัฐธรรมนูญสหรัฐฯ มอบอำนาจเฉพาะแก่รัฐสภา (Congress) ในการควบคุมการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งไม่สามารถถูกแทนที่ด้วยอำนาจฉุกเฉินของประธานาธิบดีในการปกป้องเศรษฐกิจสหรัฐฯ
"การใช้อำนาจในลักษณะนี้เป็นสิ่งที่ไม่อนุญาต ไม่ใช่เพราะมันไร้สติหรือไม่มีประสิทธิภาพ แต่เพราะกฎหมายกลางไม่อนุญาตให้ทำเช่นนั้น" คณะผู้พิพากษาระบุในคำตัดสิน
เมื่อต้นเดือนเมษายน ทรัมป์ได้ประกาศใช้ภาษีนำเข้า 10% ครอบคลุมสินค้าทุกชนิด พร้อมทั้งกำหนดอัตราสูงกว่าสำหรับประเทศที่สหรัฐฯ มีการขาดดุลการค้าสูงสุด โดยเฉพาะจีน โดยอ้างว่าการขาดดุลการค้าเป็นเหตุฉุกเฉินแห่งชาติ
อย่างไรก็ตาม ภาษีเฉพาะประเทศส่วนใหญ่ถูกระงับเมื่อสัปดาห์ต่อมา และรัฐบาลทรัมป์ประกาศเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคมว่า กำลังลดภาษีที่สูงที่สุดกับจีนชั่วคราว ขณะเจรจาข้อตกลงการค้าระยะยาว ทั้งสองประเทศตกลงลดภาษีซึ่งกันและกันเป็นเวลาอย่างน้อย 90 วัน
แดน เรย์ฟิลด์ อัยการเจเนอรัลของรัฐออริกอนซึ่งเป็นผู้นำคดีในนามของรัฐต่างๆ กล่าวว่า "คำตัดสินนี้ยืนยันว่ากฎหมายของเรามีความสำคัญ และการตัดสินใจทางการค้าไม่สามารถทำตามอำเภอใจของประธานาธิบดีได้"+
ฝ่ายบริหารของทรัมป์ได้ยื่นหนังสือแจ้งการอุทธรณ์ภายในไม่กี่นาทีหลังจากคำตัดสินออกมา สะท้อนให้เห็นถึงความไม่ยอมรับในผลการวินิจฉัยครั้งนี้
สตีเฟน มิลเลอร์ รองหัวหน้าเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวและที่ปรึกษานโยบายหลักของทรัมป์ ได้วิพากษ์วิจารณ์คำตัดสินนี้ผ่านโซเชียลมีเดียว่า "การรัฐประหารทางศาลเริ่มขาดการควบคุมแล้ว"
ปัจจุบันยังมีการท้าทายทางกฎหมายต่อนโยบายภาษีนี้อีกอย่างน้อย 5 คดี กระทรวงยุติธรรมยืนยันว่าคดีความเหล่านี้ควรถูกยกฟ้อง เนื่องจากโจทก์ยังไม่ได้รับความเสียหายจากภาษีที่ยังไม่ได้จ่าย และเฉพาะรัฐสภาเท่านั้นที่สามารถท้าทายการประกาศเหตุฉุกเฉินแห่งชาติโดยประธานาธิบดีภายใต้ IEEPA
คำตัดสินครั้งนี้ถือเป็นการทดสอบสำคัญต่อขอบเขตอำนาจของฝ่ายบริหารในการกำหนดนโยบายการค้า และอาจส่งผลกระทบต่อทิศทางนโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในระยะต่อไป