จีนเร่งยกร่างยุทธศาสตร์ "Made in China" ยึดฐานการผลิตโลก

29 พฤษภาคม 2568
จีนเร่งยกร่างยุทธศาสตร์ "Made in China" ยึดฐานการผลิตโลก

จีนเร่งยกร่างยุทธศาสตร์อุตสาหกรรมใหม่ เน้นเทคโนโลยี-ชิปขั้นสูง ตอบโต้แรงกดดันจากสหรัฐฯ พร้อมส่งสัญญาณยึดหัวหาดการผลิตโลกในทศวรรษหน้า

รัฐบาลจีนภายใต้การนำของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง กำลังเดินหน้าจัดทำยุทธศาสตร์การผลิตฉบับใหม่ เพื่อวางรากฐานอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงของประเทศในระยะยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสาขาการผลิตชิปเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการแข่งขันด้านอำนาจเศรษฐกิจและเทคโนโลยีกับสหรัฐอเมริกา ท่ามกลางแรงกดดันจากนโยบาย “แยกตัวเชิงยุทธศาสตร์” ที่รัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ กำลังเร่งผลักดัน

แผนดังกล่าวเป็นการสานต่อโครงการ “Made in China 2025” ที่เคยเปิดตัวเมื่อหลายปีก่อน โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับขีดความสามารถของจีนในภาคการผลิต โดยเฉพาะในเทคโนโลยีสำคัญ 10 สาขา เช่น หุ่นยนต์ พลังงานใหม่ อากาศยาน และอุปกรณ์การแพทย์ โดยมีแรงบันดาลใจจากยุทธศาสตร์ Industry 4.0 ของเยอรมนี

ในรอบใหม่นี้ จีนให้ความสำคัญกับการผลิตชิปเซมิคอนดักเตอร์เป็นพิเศษ หลังเผชิญแรงกดดันจากมาตรการจำกัดการส่งออกของสหรัฐฯ ที่พุ่งเป้าสกัดการเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูง อาทิ เครื่องมือลิโธกราฟีจากบริษัท ASML ซึ่งเป็นอุปกรณ์สำคัญที่ใช้สร้างลวดลายบนเวเฟอร์สำหรับผลิตชิปขนาดจิ๋ว ระดับ 7 นาโนเมตร หรือต่ำกว่า ที่จีนยังมีอัตราการพึ่งพาตนเองไม่ถึง 10%

แม้เผชิญข้อจำกัดด้านเทคโนโลยีจากต่างชาติ จีนยังคงเดินหน้าทุ่มลงทุนในอุตสาหกรรมนี้อย่างไม่หยุดยั้ง โดยคาดว่าเฉพาะช่วงปี 2025-2027 จีน เกาหลีใต้ และไต้หวัน จะใช้เงินรวมกันมากกว่า 400,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อจัดหาอุปกรณ์ผลิตชิป ขณะที่จีนยังครองแชมป์ประเทศที่มีการลงทุนด้านอุปกรณ์ผลิตชิปใหม่มากที่สุดในโลก แม้จะมีการชะลอตัวบ้างเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

ความสำเร็จจากแผน Made in China 2025 ยังช่วยเสริมความมั่นใจให้กับผู้นำจีนอย่างเห็นได้ชัด ข้อมูลจาก Bloomberg Intelligence ระบุว่า จีนขึ้นมาเป็นผู้นำระดับโลกในเทคโนโลยี 5 รายการ จากทั้งหมด 13 รายการที่ติดตาม โดยอีก 7 รายการ จีนก็กำลังไล่ทันอย่างรวดเร็ว ตัวอย่างเช่น ความก้าวหน้าของบริษัท DeepSeek ด้านปัญญาประดิษฐ์ ที่ปรากฏในช่วงต้นปี 2025 ถือเป็นสัญญาณบวกต่อการพัฒนาเทคโนโลยีชั้นสูงของประเทศ แม้อยู่ท่ามกลางแรงกดดันจากภายนอก

ในระดับมหภาค เจ้าหน้าที่ของจีนกำลังเตรียมจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมฉบับใหม่ ซึ่งจะเริ่มใช้ในปี 2026 โดยมีเป้าหมายรักษาสัดส่วนภาคการผลิตให้คงที่ในระบบเศรษฐกิจในระยะกลางถึงยาว เพื่อลดความผันผวนและสร้างความมั่นคงให้กับเศรษฐกิจของประเทศ แม้จะมีเสียงเรียกร้องจากสหรัฐฯ ให้จีนลดบทบาทภาคการผลิต และหันมาเน้นการบริโภคภายในประเทศให้มากขึ้นก็ตาม

อย่างไรก็ตาม จีนยังไม่ตัดสินใจว่าจะกำหนดเป้าหมายเชิงตัวเลขด้านการบริโภคภายใน GDP หรือไม่ เนื่องจากยังขาดเครื่องมือในการกระตุ้นการใช้จ่ายภาคครัวเรือนอย่างมีประสิทธิภาพ และไม่ต้องการผูกมัดตนเองกับตัวเลขที่อาจถูกวิพากษ์วิจารณ์ในอนาคต

นอกจากเรื่องเศรษฐกิจภายในประเทศ จีนยังเผชิญกับความตึงเครียดทางการค้ากับสหรัฐฯ ที่กลับมาร้อนแรงอีกครั้ง หลังรัฐบาลทรัมป์ขึ้นภาษีสินค้าจีนสูงสุดถึง 145% ในเดือนเมษายน ก่อนจะลดลงเหลือเฉลี่ยประมาณ 40% ภายหลังการเจรจาในเจนีวาเมื่อต้นเดือนพฤษภาคม ขณะเดียวกันจีนยังคงใช้มาตรการควบคุมการส่งออกแร่หายาก ซึ่งเป็นทรัพยากรสำคัญต่ออุตสาหกรรมชิป ตอบโต้การกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ

ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง กล่าวเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม ระหว่างการเยือนโรงงานลูกปืนในมณฑลเหอหนานว่า จีนจะยังคงเดินหน้าเสริมแกร่งอุตสาหกรรมการผลิต “เราต้องพึ่งพาตนเอง พัฒนาตนเอง และเชี่ยวชาญเทคโนโลยีหลักที่สำคัญ” เขากล่าวอย่างชัดเจนว่าอุตสาหกรรมยังคงเป็นแกนหลักของยุทธศาสตร์จีน

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีหลี่ เฉียง ก็ยืนยันในทิศทางเดียวกัน ในการประชุมสภาประชาชนแห่งชาติประจำปีเมื่อเดือนมีนาคมว่า รัฐบาลจะให้ความสำคัญกับ “การส่งเสริมการบริโภคอย่างจริงจัง” โดยเรียกร้องให้ทุกหน่วยงานดำเนินนโยบายต่างๆ เพื่อทำให้การบริโภคกลายเป็นเครื่องยนต์หลักของการเติบโตทางเศรษฐกิจ

อีกด้านหนึ่งของเวทีการค้าระหว่างประเทศ สหภาพยุโรป (EU) พยายามเร่งเจรจากับสหรัฐฯ เพื่อหลีกเลี่ยงสงครามการค้า หลังจากที่ประธานาธิบดีทรัมป์ออกมาวิจารณ์ว่ายุโรปเอาเปรียบสหรัฐฯ และถ่วงเวลาเจรจา จนเกิดความไม่พอใจต่อกันอย่างชัดเจน

แม้จะมีสัญญาณผ่อนปรนจากสหรัฐฯ ที่ยืดเส้นตายเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากยุโรปออกไปถึงวันที่ 9 กรกฎาคม แต่การเจรจายังคงเต็มไปด้วยอุปสรรค ทั้งความไม่ชัดเจนในท่าทีของสหรัฐฯ และความกังวลจากฝั่งยุโรปที่มองว่าสหรัฐฯ ใช้กฎหมายและคดีความเป็นเครื่องมือกีดกันทางการค้า


แหล่งที่มา : ฐานเศรษฐกิจ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

The information in the above report, publication and website has been obtained from sources believed to be reliable. However, Iron & Steel Institute of Thailand does not guarantee the accuracy, adequacy or completeness of the information. Any opinions or forecasts regarding future events may differ from actual events or results. In addition, Iron & Steel Institute of Thailand reserves the right to make changes and corrections to the information, including any opinions or forecasts, at any time without notice.